เพราะเป้าหมายของทนายสิทธิไม่ใช่แค่ชนะคดี: เก็บประเด็นจากวงเปิดตัวหนังสือขนนกบนตราชู 

20 กุมภาพันธ์ 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจัดงานเสวนาเปิดตัวหนังสือ “ขนนกบนตราชู” ที่รวบรวมบทสัมภาษณ์ทนายความสิบคนที่มีประสบการณ์ว่าความคดีด้านสิทธิมนุษยชนที่มีมูลเหตุจากการแสดงออกทางการเมืองของประชาชนนับจากการรัฐประหาร 2557 เช่น ทนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ที่เคยว่าความคดีการเมืองและคดีมาตรา 112 หลายคดีรวมถึงคดีของบุ้ง เนติพร ทนายรัษฎา มนูรัษฎา ซึ่งทำงานเป็นทนายอาสาให้กับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนหลายคดีรวมถึงเป็นทนายความในคดีที่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ตากใบเป็นโจทก์ฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐ และทนายอานนท์ นำภา ซึ่งขณะที่กำลังจัดทำหนังสือถูกคุมขังในคดีมาตรา 112 

งานเปิดตัวหนังสือจัดขึ้นที่อาคารเรย์ ซี – เอลิซาเบ็ธ ดาวน์ส ภายในสภาคริสตจักรในประเทศไทยโดยมีผู้ร่วมสนทนาคือ วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์ ซึ่งเป็นบรรณาธิการของหนังสือขนนกบนตราชู จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว ทนายความเครือข่ายของศูนย์ทนายความฯ คุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายความของศูนย์ทนายความฯ และดร.สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้เข้าร่วมเสวนาทั้งหมด ต่างสะท้อนทำนองเดียวกันว่าการทำงานของทนายความสิทธิมนุษยชนที่การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายกับลูกความว่าไม่ได้เป็นเพียงการประกอบวิชาชีพ หากแต่เป็นภารกิจที่จะนำไปสู่การวางบรรทัดฐานให้สิทธิมนุษยชนกลายเป็นคุณค่าและสภาวะปกติที่สังคมไทยควรจะเป็นด้วย 

เพราะเป้าหมายของทนายสิทธิไม่ใช่แค่ชนะคดี: เก็บประเด็นจากวงเปิดตัวหนังสือขนนกบนตราชู 


วีรพงษ์: ไม่ใช่แค่ชีวิตทนายสิบคนแต่เป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์

วีรพงษ์ หรือเบียร์ บรรณาธิการหนังสือเล่าว่า การทำหนังสือเล่มนี้เริ่มขึ้นในปี 2567 โดยทางศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนตั้งใจให้เป็นผลงานที่ออกมาในโอกาสครบรอบสิบปีการก่อตั้งองค์กร เบียร์เล่าต่อว่า คนที่ร่วมกันทำหนังสือเล่มนี้มีทั้งหมดหกคน พวกเขากำหนดเป้าหมายร่วมกันว่าไม่อยากให้หนังสือเล่มนี้เป็นเพียงบทบันทึกชีวิตและประสบการณ์การทำงานของทนายความสิบคน แต่หวังให้หนังสือเป็นส่วนหนึ่งของการบันทึกประวัติศาสตร์และสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นด้วย จึงเลือกใช้วิธีการสัมภาษณ์เจ้าของเรื่องแล้วนำมาเรียบเรียงแทนการเขียนเป็นลักษณะการถามตอบ เปิดพื้นที่ให้นักเขียนสามารถเติมเกร็ดและบริบทที่แวดล้อมการทำงานของทนายความเหล่านั้นได้ด้วย

ในฐานะคนที่ไม่ใช่คนทำงานในแวดวงกฎหมาย เบียร์ยอมรับว่าการทำงานชิ้นนี้มีความท้าทายพอสมควรสำหรับตัวเขาที่ต้องไปทำการบ้านเพิ่ม ทั้งเรื่องกระบวนการและภาษาทางกฎหมายบางอย่าง รวมถึงประสบการณ์เฉพาะของผู้ให้สัมภาษณ์แต่ละคนว่าทนายความเหล่านั้นเคยว่าความคดีอะไรมาบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ต่างจากการทำบทสัมภาษณ์คนที่ประกอบวิชาชีพอื่นๆ 

จันทร์จิรา: ระบวนการยุติธรรมเข้าใจเรื่องสิทธิไม่เท่าทันสังคม กฎหมายจึงไม่อาจคุ้มครองประชาชน

จันทร์จิรา หรือทนายหมวย เล่าว่า เธอเข้ามาเรียนนิติศาสตร์ตามคำแนะนำของญาติที่หวังให้เธอเป็นผู้พิพากษา พอเริ่มเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยทนายหมวยพบว่ากิจกรรมหลายๆอย่างที่มีในมหาวิทยาลัยอย่างกิจกรรมรับน้องหรือการ ”เก็บเงินค่าโต๊ะ” ของนักศึกษาเพื่อนำมาทำกิจกรรมไม่เหมือนกับแนวทางการใช้ชีวิตของเธอ ทนายหมวยจึงแสวงหาการทำกิจกรรมรูปแบบอื่นจนได้ไปทำงานอาสาและมีโอกาสไปลงพื้นที่สัมผัสปัญหาของประชาชนที่เกิดจากโครงการพัฒนาต่างๆ เช่น กรณีท่อแก๊สไทย-มาเลเซีย และกรณีเขื่อนปากมูน จุดนี้เองที่ทำให้ทนายหมวยตกผลึกว่าหากไปทำงานเป็นผู้พิพากษาหรือทนายความในบริษัทเอกชนเธอคงไม่สามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือช่วยคนที่ได้รับความเดือดร้อนได้

ทนายหมวยเล่าต่อว่าหลังเรียนจบเธอเคยเข้าไปทำงานกับองค์กรพัฒนาเอกชน เช่น มูลนิธิผู้หญิงและมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ซึ่งงานของแต่ละองค์กรก็มีความท้าทายคนละแบบ ทว่าการทำงานประเด็นการค้ามนุษย์ ความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงประเด็นการซ้อมทรมานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ล้วนเป็นประเด็นที่ต้องใช้พลังงานชีวิตและจิตใจมาก เมื่อทำงานกับทั้งสององค์กรไปได้ระยะหนึ่งเธอก็ตัดสินใจก้าวออกมา และเข้าไปมีส่วนร่วมในการก่อตั้งเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อเป็นพื้นที่กลางให้นักกฎหมายที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนได้มาพูดคุยเปลี่ยนประสบการณ์ ปัญหา หรือทำงานร่วมกัน ซึ่งต่อมาเครือข่ายก็พัฒนาไปเป็นสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน หลังทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนจนอิ่มตัว เธอก็ตัดสินใจออกมาทำงานในฐานะทนายความอิสระ รับว่าความคดีทั่วไป แต่ก็ยังคงแวะเวียนไปทำคดีด้านสิทธิเป็นระยะ  

ทนายหมวยพูดถึงลักษณะพิเศษของทนายความสิทธิมนุษยชนว่า น่าจะเป็นเรื่องเงิน เพราะในการว่าความคดีอื่นๆ ทนายความจะเรียกค่าวิชาชีพค่อนข้างสูงได้โดยเฉพาะในคดีธุรกิจ ขณะที่จำเลยในคดีอาญาทั่วไปแม้ทนายความจะไม่ได้เรียกค่าวิชาชีพสูงเท่าคดีธุรกิจแต่ก็มีหลายกรณีที่ลูกความเกือบหมดตัวเพราะค่าทนายความโดยที่ตัวทนายเองก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าผลของคดีจะออกมาตามที่ตัวลูกความคาดหวังไว้หรือไม่ ส่วนคดีสิทธิมนุษยชนมีลักษณะสำคัญคือการช่วยคนที่ไม่มีทรัพยากรในการต่อสู้คดีที่เกิดขึ้นจากการออกมาเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง หรือฟ้องคดีเพื่อปกป้องตัวเองและชุมชน ซึ่งตัวลูกความก็อาจไม่มีทรัพยากรในการว่าจ้างทนายความ การให้ความช่วยเหลือคดีลักษณะนี้จึงมักทำผ่านองค์กร อย่างเช่น ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งตัวทนายความแม้จะไม่ได้ว่าความฟรีแต่ค่าวิชาชีพจะไม่สูงมากนักอยู่ในอัตราทนายความอาสา

แนวทางการต่อสู้คดีสิทธิก็มีข้อแตกต่างจากการต่อสู้คดีปกติ ในขณะที่คดีทั่วไปให้ความสำคัญกับผลแพ้-ชนะ การต่อสู้คดีสิทธิมนุษยชนจะให้ความสำคัญของกระบวนการการต่อสู้ไม่น้อยไปกว่าผลของคดี มีบางคดีที่ทั้งลูกความและทนายความพอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าผลของคดีอาจจะไม่ได้เป็นไปในทางบวกนัก อย่างล่าสุดก็มีคดีตากใบที่ทางญาติผู้ฟ้องคดี เจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงทนายความพอจะคาดเดาได้ว่าสุดท้ายคงจะไม่ได้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้ก่อเหตุมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่พวกเขาก็ยืนยันที่จะฟ้องคดีอย่างเต็มที่เพราะอย่างน้อยการฟ้องคดีก็จะทำให้เห็นปัญหาที่มีอยู่ในกระบวนการยุติธรรม
    
จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว มองว่า ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยน่าจะเกิดจากการที่บุคลากรและองค์กรในกระบวนการยุติธรรมยังไม่มีความรู้เท่าทันในประเด็นเหล่านี้เท่ากับความรับรู้ที่เกิดขึ้นในสังคม ยกตัวอย่างเช่น การชุมนุมในปี 2563 มีการถกเถียงหรือนำเสนอประเด็นปัญหาหลายๆอย่าง เช่น เรื่องทรงผม เรื่องสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ไปจนถึงปัญหาของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งแม้ว่าประเด็นเหล่านี้จะถูกหยิบยกมาพูดคุยในสังคม แต่บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมมักจะตามไม่ทัน และเมื่อคุณค่าของหลักสิทธิเสรีภาพไม่ได้หยั่งรากลึกในกระบวนการยุติธรรม กฎหมายยังคงถูกใช้เป็นเครื่องมือจำกัดสิทธิเสรีภาพแทนที่จะใช้เป็นเครื่องมือคุ้มครองหรือส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ 


คุ้มเกล้า: สู้คดีสิทธิไม่ใช่แค่ผลแพ้ชนะแต่ต้องเน้นย้ำเรื่องหลักการ 

คุ้มเกล้า หรือ ทนายเกล้าให้ความเห็นว่า การเป็นทนายความไม่ว่าจะเป็นทนายความที่ทำคดีทั่วไป ทนายความที่ทำคดีธุรกิจ หรือทนายความที่ทำคดีสิทธิมนุษยชน ล้วนต้องยึดถือหลักนิติธรรมเป็นสำคัญ สำหรับทนายสิทธิมนุษยชนอาจจะมีสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือนอกจากจะต้องต่อสู้คดีให้ลูกความแล้วก็จะต้องใช้การต่อสู้คดีผลักดันประเด็นที่เป็นสาระแห่งคดีด้วย เช่น ประเด็นเสรีภาพการแสดงออก หรือสิทธิของกลุ่มเปราะบางต่างๆ เช่นเด็ก ผู้หญิง หรือผู้ใช้แรงงาน ซึ่งจุดนี้การรู้หลักการหรือเครื่องมือที่ใช้คุ้มครองสิทธิอย่างกว้างขวางทั้งกลไกตามกฎหมายไทยและกลไกสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะหากตัวทนายรู้ไม่กว้างหรือรู้จำกัดแค่กฎหมายไทย ก็อาจจะมองไม่เห็นว่าสิ่งที่ลูกความเผชิญอยู่เป็นปัญหาอย่างไร แต่หากตัวทนายรู้ทั้งกลไกตามกฎหมายไทยและมาตรฐานสากลอย่างน้อยก็จะรู้สึก “เอ๊ะ” และตั้งคำถามต่อไปได้ว่าสิ่งที่ลูกความเผชิญ ควรจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่หากวัดจากมาตรฐานสากล 

ในส่วนของแนวทางการต่อสู้คดีและการทำงานกับจำเลยในคดีสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะกลุ่มนักกิจกรรม ทนายคุ้มเกล้าระบุว่าอาจมีความต่างจากจำเลยคดีทั่วไปอยู่บ้าง เพราะการต่อสู้คดีทั่วไปหากหลักฐานของฝ่ายโจทก์อ่อนจนอาจทำให้จำเลยสามารถสู้คดีจนชนะได้ ส่วนใหญ่จำเลยก็จะเลือกทางนั้น แต่จากประสบการณ์ต่อสู้คดีสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะในคดีชุมนุม เธอพบว่า ในหลายๆ กรณีจำเลยอาจไม่เลือกทางนั้น เคยมีกรณีที่ทนายเกล้าถามจำเลยที่ในคดีจากการชุมนุม ว่าจะปฏิเสธการและให้การพิสูจน์เป็นภาระของฝ่ายโจทก์ไปเลยหรือไม่ เพราะภาพถ่ายที่ฝ่ายโจทก์นำมาใช้ปรักปรำจำเลยไม่ชัดเจนจนไม่จนสามารถระบุตัวตนได้ แต่จำเลยก็ยืนยันว่าเขาจะให้การว่า ไปร่วมชุมนุมจริง เพราะต้องการยืนยันว่าเขาเพียงแต่ไปใช้เสรีภาพการชุมนุม

สำหรับภาพรวมการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ทนายเกล้าระบุว่าถ้าเปรียบเทียบระหว่างคนที่ถูกดำเนินคดีเพราะออกมาชุมนุมคัดค้านการรัฐประหารในช่วงปี 2557 กับคนที่ถูกดำเนินคดีช่วงปี 2563 จะพบว่าอายุเฉลี่ยของคนถูกดำเนินคดีลดลง โดยจำเลยที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยทำคดีให้อยู่ที่ 12 ปี ซึ่งสะท้อนว่าในช่วงหลังคนอายุน้อยมีแนวโน้มตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น ที่มีคนบอกว่าประชาชนไม่สนใจเรื่องประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชน สนใจแต่เรื่องบปากท้องก็ดูจะไม่เป็นความจริง เพราะสุดท้ายแล้วโครงสร้างการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยก็จะส่งผลดีกับชีวิตของคนในมิติอื่นๆ รวมถึงปากท้อง

ทนายคุ้มเกล้ายังย้ำประเด็นนี้ไปถึงทนายความที่ทำคดีสิทธิมนุษยชนด้วยว่า มีทนายความหลายๆคนที่ทำคดีด้านสิทธิแยกไปตามประเด็นที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะ ทั้งด้านสิทธิแรงงาน สิทธิในสัญชาติ หรือสิทธิในสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร แต่เธอก็อยากชักชวนให้ทนายความสิทธิมนุษยชนเหล่านั้นให้ความสนใจในประเด็นสิทธิทางการเมืองด้วยเพราะท้ายที่สุดหากโครงสร้างทางการเมืองมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี โอกาสที่ปัญหารายประเด็นซึ่งทนายความเหล่านั้นทำงานอยู่จะได้รับการแก้ไขก็จะมีมากขึ้น 

ทนายเกล้ายังฝากไปถึงนักศึกษากฎหมายที่กำลังศึกษาอยู่ด้วยว่า กฎหมายมีหลักการที่สำคัญอันหนึ่งคือหลักการได้รับการสันนิจฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ทว่าในเวลานี้ก็มีคนถูกดำเนินคดีหลายคนที่ถูกคุมขังทั้งที่การพิจารณาคดียังไม่แล้วเสร็จ หากนักศึกษากฎหมายคนไหนอ่านข่าวนั้นแล้วรู้สึกถึงความไม่ปกติ ทนายคุ้มเกล้าก็ถือพวกเขาเหล่านั้นถือเป็นนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนครึ่งตัวแล้ว และหากในอนาคตมีโอกาสก็อยากเชิญชวนให้มาร่วมกันผลักดันงานด้านสิทธิมนุษยชน


สงกรานต์: ยังศรัทธา แม้ไม่เชื่อมั่น

อาจารย์สงกรานต์ในฐานะนักวิชาการด้านกฎหมายที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ให้ความเห็นว่า ประสบการ์ของทนายความทั้งสิบมีจุดร่วม คือ ความฝันที่ต้องการใช้กฎหมายเปลี่ยนแปลงสังคม เพราะการทำคดีสิทธิเป็นงานที่ยากและหนัก ต้องอยู่ภายใต้สภาพการทำงานที่กดดันโดยที่ค่าตอบแทนก็ไม่ได้สูงมากนัก การที่ทั้งสิบคนเลือกทำงานนี้ แปลว่าพวกเขาต้องมองเห็นคุณค่าบางอย่างร่วมกัน

สงกรานต์กล่าวต่อไปว่าแม้ทนายความทั้งสิบคนจะมีพื้นฐานทางครอบครัวและการเข้าสู่วิชาชีพด้านกฎหมายที่ต่างกันแต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนดูจะต้องเผชิญคือการถูกท้าทายทางความคิด คนที่เป็นนักกฎหมายมักถูกสอนต่อๆ กันมาว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาและข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในสังคมได้ แต่เมื่อทนายความทั้งสิบคนมาทำงานในประเด็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน พวกเขาอาจเริ่มมีมุมมองที่ต่างไป พวกเขาจะเริ่มมองเห็นว่าปัจจัยชี้ขาดของคดีบางครั้งก็ไม่ใช่แค่ข้อเท็จจริง แต่มีเรื่องนโยบายเข้ามาเกี่ยวข้อง จนทำให้ยากที่จะต่อสู้คดีให้ชนะ สภาวะที่เกิดขึ้นนี้อาจทำให้เกิดความขัดแย้งในตัวเอง จนมีทนายความท่านหนึ่งสะท้อนออกมาว่าเขาไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ยังศรัทธาอยู่ ซึ่งหมายความว่าตัวเขาเห็นว่ากระบวนการมีปัญหา มีความบิดเบี้ยว แต่เขาก็น่าจะยังคงมีความหวังบางอย่างอยู่ ถึงเลือกที่จะใช้กฎหมายต่อสู้ต่อไป เพราะถ้าหากเขาหมดความหวังโดยสิ้นเชิงก็คงเลือกไปทำอย่างอื่นแทน

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

บทความยอดนิยม

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage