ทำไมต้อง “เขียนรัฐธรรมนูญใหม่” โดยประชาชน แทนที่ฉบับปี 2560

ทำไมต้อง “เขียนรัฐธรรมนูญใหม่” โดยประชาชน แทนที่ฉบับปี 2560

ข้อเสนอให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เริ่มถูกเสนอและผลักดันมาตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2562 การเลือกตั้งในปี 2566 เพื่อแทนที่รัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีที่มาจากคณะรัฐประหาร และประชามติที่ไม่ชอบธรรม

แม้หลังการเลือกตั้งทั้งสองครั้งพรรคการเมืองที่หาเสียงว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 มีจำนวนสส. รวมกันแล้วมากกว่าครึ่ง แต่ด้วยแนวทางการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้อำนาจของกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็ทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังคง “พายเรือในอ่าง” และไม่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยง่ายด้วยกระบวนการของรัฐสภา จนเริ่มมีเสียงคำถามดังขึ้นว่า จำเป็นหรือไม่ที่ต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือจะแก้ไขส่วนที่มีปัญหาเพียงรายมาตราก็เพียงพอ

ถ้าหากพิจารณาเฉพาะเรื่องที่มาของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ไม่ชอบธรรม ทำให้ประชาชนไม่ได้รู้สึกมีส่วนร่วมหรือเป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็มีเหตุผลเพียงพอที่ต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีที่มาเชื่อมโยงทำให้ประชาชนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง รู้สึกเป็นเจ้าของ และหวงแหนรัฐธรรมนูญฉบับที่เป็นของประชาชนจริงๆ

ถ้าหากพิจารณาในแง่เนื้อหาก็จะพบว่า ปัญหาของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 นั้น มีหลายมิติหลายแง่มุม ที่หากใช้วิธีการแก้ไขเพียง “บางมาตรา” อาจจะไม่เพียงพอ แต่ต้องแก้ไขหลายมาตรามากๆ

สิทธิเสรีภาพของประชาชน ต้องคิดใหม่หลายเรื่อง


เมื่อเปรียบเทียบวิธีการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในรัฐธรรมนูญ 2560 กับรัฐธรรมนูญสองฉบับก่อนหน้า พบว่า ทั้งประเด็นสิทธิผู้บริโภค สิทธิแรงงาน สิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อม สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิทางสาธารณสุข สิทธิทางการศึกษา ฯลฯ ยังเขียนรับรองได้น้อยกว่าที่เคยเป็นมา โดยเฉพาะการออกแบบกลไกใหม่ที่ย้ายเอาสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไปเขียนเป็น “หน้าที่ของรัฐ” และตลอดเจ็ดปีก็ยังไม่เห็นผลว่าจะบังคับให้รัฐทำหน้าที่ได้ดีขึ้นอย่างไร

ประเด็นสำคัญ คือ มาตรา 25 ที่กำหนดให้สิทธิหรือเสรีภาพของประชาชนอยู่ภายใต้หลัก “ความมั่นคงของรัฐ” “ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” รวมทั้งมาตรา 27 ที่กำหนดว่า “ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน” โดยไม่ได้มีตำแหน่งแห่งที่ของคนที่มีเพศหลากหลายกว่าชายและหญิง

ในประเด็นหมวดสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการของรัฐ การสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม การศึกษา ฯลฯ ประชาชนจะได้ประโยชน์โดยตรงในกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญในประเด็นเหล่านี้ หากสามารถออกแบบการเขียนรัฐธรรมนูญให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิของตัวเองได้ก็จะช่วยให้สภาพความเป็นอยู่ วิถีชีวิต คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

ซึ่งจะได้ผลเป็นจริงมากน้อยเพียงใดยังขึ้นอยู่กับว่า จะได้ใครมาเป็นผู้ร่างฉบับใหม่ และจะเขียนเนื้อหาในฉบับใหม่ให้เป็นประโยชน์ได้แค่ไหน ยังเป็นเรื่องที่ต้องเรียกร้องรณรงค์กันต่อไป แต่เท่าที่เป็นอยู่ในฉบับปี 2560 ยังเห็นช่องว่างอยู่มาก โดยเฉพาะหมวดสิทธิเสรีภาพที่ “ลดลง” จากฉบับก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด

การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 อาจแก้ไขเพียงบางประเด็นก่อนก็ได้ แต่หากจะคืนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานให้กับประชาชนได้เท่ากับก่อนมีรัฐธรรมนูญ 2560 จะต้องแก้ไขเยอะมาก เฉพาะในหมวด 3 สิทธิเสรีภาพของประชาชน มาตรา 25-49 รวม 24 มาตรา อาจจะต้องแก้ไขทุกมาตรา โดยบางมาตราอาจจะแก้ไขเพียงบางถ้อยคำ และบางมาตราอาจจะต้องเขียนใหม่ทั้งมาตรา

นอกจากนี้ ยังมีสิทธิเสรีภาพหลายประเด็นที่ไม่ได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 เช่น สิทธิการอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ดี สิทธิมีทนายความเมื่อถูกดำเนินคดี สิทธิเสมอกันด้านการศึกษา ฯลฯ หากจะเขียนหมวดที่ 3 ขึ้นใหม่อาจจะต้องมีจำนวนมาตรามากขึ้น ซึ่งหากจะใช้วิธีแก้ไขรายมาตราอาจจะทำให้รัฐธรรมนูญที่มีอยู่เต็มไปด้วยร่องรอยการแก้ไข เป็นฉบับที่เนื้อหายุ่บยั่บ ในลักษณะเขียนมาตราด้วยครื่องหมายทับ เช่นืมาตรา 49/1 มาตรา 49/2 เยอะกว่ามาตราที่ไม่มีเครื่องหมายทับ และกลายเป็นรัฐธรรมนูญที่อ่านยากมากๆ


การแก้ไขรายมาตรายังมีข้อจำกัดที่เน้นไปที่การ “แก้ไข” จุดที่ยังบกพร่องหรือจุดที่สามารถดีขึ้นได้ แต่ไม่ได้เปิดทางสำหรับการออกแบบ “ความฝัน” และความเป็นไปได้อื่นๆ ที่อาจจะยังไม่เคยเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใดในประวัติศาสตร์ของไทยมาก่อน เช่น การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การรับรองความหลากหลายทางเพศ การรับรองสิทธิคนชาติพันธุ์ การเคารพความหลากหลายทางชีวภาพ การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม การป้องกันรัฐประหาร ฯลฯ ซึ่งไม่ได้มีตำแหน่งแห่งที่ให้ใช้วิธีการ “เติม” ลงไปไม่กี่คำในโครงสร้างของรัฐธรรมนูญที่ีอยู่เดิม

อำนาจและที่มาองค์กรอิสระ ต้องรื้อใหม่ทั้งหมด


ภาพโครงสร้างที่มาขององค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐนี้ ตอบได้ชัดเจนแล้วว่า ทำไมต้องเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อออกแบบโครงสร้างทางอำนาจใหม่ เพราะตามรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่นี้องค์กรตรวจสอบอำนาจรัฐต่างมีที่มาเชื่อมโยงกับ “อำนาจ” ทั้งสิ้น

รัฐธรรมนูญ 2560 สถาปนาอำนาจให้กับ “องค์กรอิสระ” หกแห่งที่ไม่ได้มีที่มาเป็น “อิสระ” สมชื่อ ทั้งศาลรัฐธรรมนู คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)​, ผู้ตรวจการแผ่นดิน, คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.), คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มีอำนาจถอดถอนนักการเมือง ยุบพรรคการเมือง รวมถึงออกคำสั่งที่อาจมีผลต่อความเป็นไปทางการเมือง

ตามมาตรา 203 ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งในองค์กรเหล่านี้ มีที่มาจากการสรรหาโดยคณะกรรมการที่มีตัวแทนจากองค์กรเหล่านี้มาประชุมร่วมกัน (ยกเว้นกสม.) และส่งรายชื่อที่ผ่านการสรรหาแล้วให้กับ #วุฒิสภา หรือสว. เพื่อให้พิจารณาให้ความเห็นชอบ 

ช่วงระหว่างปี 2557-2562 ที่ยังไม่มีวุฒิสภา องค์กรเหล่านี้ก็ผ่านความเห็นชอบมาจากสภานิติบัญ ญัติแห่งชาติ หรือสนช. ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารทั้งหมด 

ช่วงระหว่าง 2562-2567 ที่มีวุฒิสภาชุดพิเศษ ก็ได้คน 250 คน จากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารที่ลงมติไปในทางเดียวกันสม่ำเสมอ 

ตลอดระยะเวลา 10 ปี คนที่ผลัดเปลี่ยนกันมาดำรงตำแหน่ง ล้วนถูกคัดสรรเป็นอย่างดีแล้วจากคณะรัฐประหาร หากใครที่ไม่เข้าตาก็ลงมติไม่เห็นชอบได้อย่างเงียบๆ ในการประชุมลับที่ไม่เปิดเผยรายงานการประชุม

ในยุคสว. ชุดใหม่จากระบบพิเศษที่เลือกกันเอง การลงมติก็ยังทำเป็นการลับ และในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ก็เพิ่งลงมติเห็นชอบคตง. 5 คน และไม่เห็นชอบอีก 2 คน และยังลงมติไม่เห็นชอบผู้ตรวจการแผ่นดินอีกหนึ่งตำแหน่ง เท่ากับวุฒิสภาด้วยเสียงส่วนใหญ่มีการคัดกรองบุคคลแต่ละคนอย่างละเอียดแล้ว ไม่ใช่เพียงเห็นชอบตามรายชื่อที่มาจากคณะกรรมการสรรหาเท่านั้น และสว. ชุดนี้ก็ยังจะทำหน้าที่ลงมติเห็นชอบทั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ​ กกต. ป.ป.ช. และอีกหลายตำแหน่งในช่วง 1-2 ปีนี้ 

โดยคนที่ผ่านการเห็นชอบจากสว. ก็จะมาทำหน้าที่ดูแลการเลือกตั้ง กำกับจริยธรรมของ สส. สว. ต่อไปในอนาคต วนเป็นวงกลมในหมู่คนที่ “เห็นชอบ” คุณสมบัติให้กันและกัน จนหลักการตรวจสอบการใช้อำนาจพังทลายไป

หากจะแก้ไขที่มาขององค์กรอิสระ และสว. เพื่อให้หลักการตรวจสอบการใช้อำนาจกลับคืนมาเป็นจริง ต้องแก้ไขที่รัฐธรรมนูญ 2560 หลายมาตรา เริ่มจากมาตรา 203 และเชื่อมโยงไปมาตราที่เกี่ยวข้องอีก 5 มาตรา ต้องแก้ไขทั้งอำนาจของวุฒิสภา และกระบวนการการทำงานของวุฒิสภา โดยยังต้องโดยยังต้องออกแบบกลไกการตรวจสอบการใช้อำนาจขึ้นมาใหม่ที่มีอำนาจหลายฝ่ายมาถ่วงดุลกัน มีที่มาที่เชื่อมโยงกับประชาชนมากกว่าที่ผ่านมา และมีความชอบธรรมกว่าที่เป็นอยู่

การเสนอแก้ไข “รายมาตรา” ในประเด็นที่มาและอำนาจหน้าที่ขององค์กรเหล่านี้ อาจจะไม่สามารถรื้อโครงสร้างที่เป็นอยู่นี่ได้ หรืออาจจะทำให้รัฐธรรมนูญที่ถูกแก้ไขเต็มไปด้วยมาตราที่เขียนด้วยเครื่องหมายทับ เช่น มาตรา 203/1 มาตรา 203/2 และกลายเป็นรัฐธรรมนูญที่เต็มไปด้วยการเขียนเชื่อมโยงทางเทคนิคข้ามหมวด ข้ามมาตรา อ่านเข้าใจยาก

การเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยตัวแทนผู้ร่างที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเท่านั้น จะเป็นกระบวนการที่ดีที่สุดที่จัดสรรอำนาจรัฐ และอำนาจการตรวจสอบสำหรับอนาคตของประเทศไทย

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

บทความยอดนิยม

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage