คดีมาตรา 112 ของณัฐชนน ไพโรจน์ กรณีครอบครองหนังสือ “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า”

จับตาคำพิพากษาอุทธรณ์ ม. 112 ของณัฐชนน ไพโรจน์ กรณีครอบครองหนังสือ “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า”

17 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 09:00 น. ศาลจังหวัดธัญบุรีนัดณัฐชนน ไพโรจน์ นักกิจกรรมจากเครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิทางการเมือง (Thumb Rights) และอดีตสมาชิกแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีข้อหาหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาตามพ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 จากกรณีผลิตและครอบครองหนังสือ “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา 10 ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์”

หนังสือ “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์” มีเนื้อหาถอดคำปราศรัยของสี่ผู้ปราศรัยในการชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน วันที่ 10 สิงหาคม 2563 ณ ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ได้แก่ อานนท์ นำภา ภาณุพงศ์ จาดนอก ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และพริษฐ์ ชิวารักษ์ โดยในวันดังกล่าว ปนัสยา ขึ้นเวทีประกาศ 10 ข้อเรียกร้องว่าด้วยการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเนื้อหาของ 10 ข้อเรียกร้อง ก็ถูกตีพิมพ์ในหนังสือปกแดงเช่นกัน

ในหนังสือปกแดง ไม่มีถอดความคำปราศรัยของณัฐชนน ไพโรจน์ นอกจากนี้ ผู้ปราศรัยทั้งสี่คนข้างต้น ไม่ได้ถูกดำเนินคดี มาตรา 112 จากการชุมนุมเมื่อ 10 สิงหาคม 2563 แต่ถูกดำเนินคดีในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

ในขั้นตอนการพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลจังหวัดธัญบุรีอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 ยกฟ้องคดีนี้ โดยให้เหตุผลว่า โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า จำเลยเป็นเจ้าของหนังสือ หรือเป็นผู้จัดพิมพ์ จากพยานหลักฐานของโจทก์ ปรากฏให้เห็นว่าจำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ผลิตหนังสือดังกล่าวมาโดยตลอด ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ผลิตหรือครอบหนังสือ จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

จากข้อมูลศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า พนักงานอัยการจังหวัดธัญบุรียื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2567 ระบุว่า โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้องจำเลย จึงขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตามฟ้อง ด้วยเหตุผลว่า

1) หนังสือดังกล่าวที่มีถ้อยคำของสี่ผู้ปราศรัยในการชุมนุม 10 สิงหาคม 2563 มีข้อความที่เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ถึงแม้ว่าคำปราศรัยของจำเลยจะไม่ปรากฏในหนังสือของกลาง แต่ส่วนท้ายของคำนำในหนังสือระบุว่า “กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” ซึ่งจำเลยเป็นสมาชิกและเป็นแกนนำกลุ่ม อันเป็นในลักษณะของผู้จัดพิมพ์และผลิตหนังสือ

2) ในวันเกิดเหตุ 19 กันยายน 2563 หนังสือถูกขนย้ายมาจากบ้านที่จำเลยเช่าพักอาศัยอยู่กับกลุ่มเพื่อน และเจ้าพนักงานตรวจยึดหนังสือของกลางได้ ตามบันทึกการตรวจยึดหนังสือระบุว่า จำเลยนั่งมากับรถบรรทุกหนังสือ โดยจำเลยมีจุดมุ่งหมายจะไปส่งยังที่ชุมนุม สอดคล้องกับคำเบิกความจำเลยที่ยืนยันว่า จำเลยจะนำหนังสือไปแจกจ่ายให้ประชาชนที่มาร่วมชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อตำรวจตรวจยึดของกลาง จำเลยก็ได้แสดงตนต่อเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้มีการตรวจยึดหนังสือ อันเป็นข้อบ่งชี้ยืนยันแสดงให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้ผลิตหรือครอบครองหนังสือ

3) แม้ว่าไม่มีลายมือชื่อจำเลยรับรองไว้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองหนังสือของกลางก็ตาม แต่พฤติการณ์แห่งคดีที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นมีน้ำหนักมั่นคงแน่นหนาให้รับฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้ผลิตหรือครอบครองหนังสือที่มีข้อความดูหมิ่นและหมิ่นประมาทกษัตริย์ ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

มูลเหตุของคดีนี้ สืบเนื่องมาจากเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 19 กันยายน 2563 อันเป็นวันที่กลุ่มแนวร่วมฯ นัดหมายชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ (ต่อมาสถานที่ชุมนุมถูกเปลี่ยนเป็นท้องสนามหลวง) สมาชิกกลุ่มแนวร่วมฯ รวมถึงณัฐชนน ขนย้ายอุปกรณ์สำหรับการชุมนุมซึ่งรวมถึงหนังสือ “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา 10 ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์” หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า หนังสือปกแดง ที่บรรจุอยู่ในหีบห่อกระดาษสีน้ำตาล ขึ้นไปบนรถยนต์บรรทุกหกล้อสองคัน ออกจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดหมายชุมนุม โดยณัฐชนนนั่งอยู่ในรถบรรทุกด้วย ขณะที่รถเคลื่อนออกไปได้ไม่ไกลนัก ก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ มาสกัดรถสองคันและแจ้งว่าภายในรถกำลังบรรทุกสิ่งของที่ผิดกฎหมาย โดยไม่ได้แสดงหมายหรือเอกสารใดในการตรวจค้น และได้ยึดหนังสือจำนวน 45,080 เล่มไป

ต่อมา 11 มกราคม 2564 พนักงานสืบสวนสภ.คลองหลวง แจ้งข้อกล่าวหา มาตรา 112 และข้อหาตามพ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 เนื่องจากการจัดพิมพ์หนังสือโดยไม่แสดงข้อความตามที่กฎหมายกำหนด (ไม่มีเลข ISBN ไม่มีเลขหอสมุดแห่งชาติ)  และเมื่อ 19 มกราคม 2565 พนักงานอัยการจังหวัดธัญบุรี ยื่นฟ้องณัฐชนน ไพโรจน์ ด้วยข้อหา มาตรา 112 ศาลจังหวัดธัญบุรี โดยณัฐชนน เป็นจำเลยเพียงคนเดียวในคดีนี้

๐ อ่านข้อมูลคดีณัฐชนน : หนังสือ “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า” ได้ที่ https://www.ilaw.or.th/articles/case/24079

ศาลอุทธรณ์ ‘พลิก’ ให้ลงโทษจำคุก ณัฐชนน 2 ปี ฐานสนับสนุนเผยแพร่หนังสือคำปราศรัยผิด ม.112 

17 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 09:00 น. ณ ห้องพิจารณาคดีที่ 12 ศาลจังหวัดธัญบุรีนัดณัฐชนน ไพโรจน์ นักกิจกรรมจากเครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิทางการเมือง (Thumb Rights) และอดีตสมาชิกแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีข้อหาหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาตามพ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 จากข้อกล่าวหาว่า ผลิตและครอบครองหนังสือ “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา 10 ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์”

บรรยากาศวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยมาถึงศาลเวลา 09:34 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์เวลา 09:49 น. และเริ่มอ่านคำพิพากษาคดีนี้เวลา 09:54 น. โดยมีใจความว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ คือ จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่

ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์บรรยายว่า หากจำเลยจะกระทำความผิดตามฟ้องได้ ต้องมีการกระทำดูถูก เหยียดหยาม มุ่งแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ถ้อยคำในหนังสือดังกล่าว เห็นได้ว่า เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามพระมหากษัตริย์

แม้โจทก์จะกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิด แต่จากพฤติการณ์จำเลยเพียงนั่งรถบรรทุกขนหนังสือมา อย่างไรก็ดี หากจำเลยรู้ว่าหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาดูถูกเหยียดหยามพระมหากษัตริย์ และช่วยเหลือ ส่งเสริมการกระทำดังกล่าว จำเลยย่อมมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ต้องระวางโทษสองในสามของความผิดนั้น

จากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าวันที่ 10 สิงหาคม 2563 จำเลยเป็นแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และได้ขึ้นปราศรัย เช่นนี้จำเลยรู้ได้ว่า ผู้ปราศรัยแต่ละคนปราศรัยเรื่องอะไร จำเลยย่อมรู้เนื้อหาหนังสือดังกล่าว ซึ่งมีข้อความดูถูก เหยียดหยามพระมหากษัตริย์ 

พฤติกรรมของจำเลยในวันที่ 19 กันยายน 2563 ซึ่งนั่งหน้ารถบรรทุกขนหนังสือเพื่อจะนำไปยังที่ชุมนุม แสดงว่าจำเลยและพวกย่อมประสงค์จะนำหนังสือไปแจกให้ผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุม 10 สิงหาคม 2563 รู้ข้อความคำปราศรัยการชุมนุมดังกล่าวอีกรอบ

อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนความผิดดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบมาตรา 86 ลงโทษจำคุกสองปี แม้โจทก์จะไม่ได้ขอในคำฟ้องมาให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุน แต่คำพิพากษาก็ไม่เกินคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192

พิเคราะห์ภาวการณ์ รัชกาลที่ 10 ทรงบำเพ็ญเพียรพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์ของทุกคนรวมทั้งจำเลยและครอบครัวด้วย ส่วนจำเลยศึกษาในสถาบันชื่อดังชั้นต้นของประเทศ ย่อมมีความรู้แต่กลับไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงไม่มีเหตุให้สมควรรอการลงโทษ

13.30 น. ศาลจังหวัดธัญบุรีอนุญาตให้ประกัน ณัฐชนน ไพโรจน์ ระหว่างฎีกา วางเงินประกัน 150,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ ศาลไม่กำหนดเงื่อนไขใดๆ

RELATED TAGS

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

บทความยอดนิยม

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage