13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาวาระสำคัญ พิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญสองฉบับ ซึ่งเสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย ทั้งสองฉบับมีสาระสำคัญ คือการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญจากการเลือกตั้ง มาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่
ตอนเช้าก่อนประชุมรัฐสภา เวลาประมาณ 08.36 น. เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชิงเสนอญัตติด่วน ขอให้ที่ประชุมพิจารณาลงมติยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่ารัฐสภามีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่ เมื่อเปิดประชุมรัฐสภาแล้ว วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ชี้แจงว่าเมื่อเสนอเป็นหนังสือและเรื่องด่วนที่ประธานรัฐสภา มีสิทธิบรรจุวาระได้ จึงให้ที่ประชุมพิจารณาตัดสินใจร่วมกันว่าจะให้เลื่อนขึ้นมาก่อนวาระอื่นๆ หรือไม่ นำมาสู่ข้อถกเถียง และลงมติว่าจะเลื่อนญัตติดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาก่อนวาระแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่
สว. ยันจะส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ อ้างจะผิดกฎหมาย
พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. อภิปรายว่า “ผมไม่เห็นด้วยกับการมีการประชุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในวันนี้” ด้านประธานรัฐสภา แจงกลับว่า ขณะนี้ขอให้อภิปรายในประเด็นการพิจารณาเลื่อนญัตติก่อน แต่พิสิษฐ์ก็ยันกลับว่า ถ้าไม่ได้พูดวันนี้ ก็จะไม่เข้าประชุมเลย
หลังจากนั้น ประธานรัฐสภาให้เปรมศักดิ์ เพียยุระ อภิปรายนำเสนอหลักการและเหตุผล เปรมศักดิ์ระบุว่า เขาเป็น สว.สีขาว ท่ามกลางกระแสเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จึงได้เสนอญัตตินี้เพื่อให้สมาชิกได้ดำเนินการอย่างมีบรรทัดฐาน ตามหลักการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โ
เปรมศักดิ์แจงเหตุผลญัตติด่วน เรื่องขอให้รัฐสภามีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 วรรค 1(2) ว่า ตามที่ สส. พรรคประชาชน และ สส. พรรคเพื่อไทย เสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญ มีสาระสำคัญเหมือนกัน คือตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่
ด้วยเหตุที่กล่าวมานั้นจึงเกิดปัญหาว่ารัฐสภามีอำนาจโหวตหรือไม่เนื่องจากคำวินิจฉัยที่ 4/2564 มีใจความว่าการแก้ไขมาตรา 256 เพิ่มเติมหมวด 15/1 ย่อมเป็นผลให้เกิดการยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เป็นการแก้ไขในหลักการสำคัญที่ผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมต้องการปกป้องคุ้มครองไว้ หากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อนว่าสมควรร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติสามครั้ง เนื่องจากถ้าไม่มีอำนาจพิจารณาจะส่งผลเสียต่องบประมาณประเทศและส่งผลต่อความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่ารัฐสภามีอำนาจหน้าที่ทำได้ ก็จะส่งผลให้การดำเนินการของรัฐสภาเป็นไปโดยชอบตามกฎหมายต่อไป
ปริญญา วงษ์เชิดขวัญ สว. อภิปรายสนับสนุนให้เลื่อนญัตติขึ้นโดยกล่าวว่า “สว. ไม่สามารถชี้ให้ได้ว่าท่านต้องทำตามเรา แต่ถ้าสว.ไม่ได้สบายใจ ถ้าร่าง (แก้รัฐธรรมนูญ) นี้ไม่ได้มีถึงหนึ่งในสาม ก็จะเอาอะไรต่อไปครับ ให้เลื่อนญัติขึ้นมาก่อน” เช่นเดียวกับยุคล ชนะวัฒน์ปัญญา สว. ที่อภิปรายเห็นด้วยกับการเลื่อนญัตติ และรัชนีกร ทองทิพย์
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส. พรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่าสนับสนุนให้ญัตตินี้เลื่อนขึ้นมาก่อนเพราะต้องทำประชามติเสียก่อนจึงจะบรรจุระเบียบวาระได้ ทั้งนี้ประชาธิปัตย์ไม่ได้มีเจตนายื้อเวลา แต่ไม่อยากให้เสียของและไปตายตอนจบ
ด้านประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส. พรรคเพื่อไทย กล่าวโดยมีใจความว่าเห็นควรเลื่อนญัตติดังกล่าวขึ้นมา แต่ไม่ได้เห็นด้วยกับเนื้อหาเนื่องจากผู้เสนอญัติส่งศาลทำตัวเหมือนศาลรัฐธรรมนูญเสียเองว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง
สว. ข้างน้อย – สส. พรรคประชาชน แย้งไม่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ
ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส. พรรคประชาชน อภิปรายว่าไม่ให้ด้วยกับการเลื่อนญัตตินี้ขึ้นมาก่อน ด้วยเหตุผลว่า
ประการแรก การบรรจุระเบียบวาระเป็นอำนาจโดยแท้ของประธานรัฐสภา และประธานรัฐสภาก็ได้วินิจฉัยแล้วว่าสามารถบรรจุระเบียบวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับได้ เรื่องนี้ ไม่ใช่ความเห็นของประธานรัฐสภาโดยฝ่ายเดียว พริษฐ์ วัชรสินธุได้เข้าไปชี้แจงกับประธานรัฐสภา และฝ่ายกฎหมายอีกแล้ว
ประการที่สอง การพิจารณาญัติกฎหมาย พระราชบัญญัติ หรือรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจของสมาชิกรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ
ปกรณ์วุฒิ เห็นว่าญัตติวันนี้รวมถึงความเห็นของสมาชิกรัฐสภาที่บอกว่าไม่สามารถมีอำนาจในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญได้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ต้องเร่งแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญโดยเร็วที่สุด เพราะว่าแม้กระทั่งผู้แทนปวงชนชาวไทยที่ประชาชนเลือกตั้งให้ทุกท่านเข้ามาในการแก้ไขกฎหมาย แก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังสงสัยตัวเองกันเลยว่าทำได้หรือไม่ได้
“ในการเป็นผู้แทนประชาชน ถ้าไม่มีความกล้าหาญเหล่านั้น ไม่ต้องเสนอตัวมาเป็นผู้แทนประชาชน ผมไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนญัตตินี้ขึ้นมาครับ” ปกรณ์วุฒิกล่าว
ฝั่ง สว. นรเศรษฐ์ ปรัชญากร อภิปรายไม่เห็นด้วยให้เลื่อนญัติขึ้นมา
เวลา 11.11 น. ประธานรัฐสภาแจ้งว่าจะให้ลงมติว่าจะเลื่อนญัตติขึ้นมาหรือไม่โดยให้สมาชิกรัฐสภาเสียบบัตรแสดงตนเพื่อตรวจสอบองค์ประชุมในเวลา 11.16 น. ที่ประชุมแจ้งผลว่ามีองค์ประชุมทั้งสิ้น 527 คน จำนวนผู้ลงมติ 526 ลงมติเห็นด้วย 247 ลงมติไม่เห็นด้วย 275 และงดออกเสียง 4
ดังนั้น มติที่ประชุมรัฐสภาไม่เห็นด้วยให้เลื่อนญัตติขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) หลังจากนั้นเวลา 11.23 น. พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงษ์ สมาชิกวุฒิสภา ได้ลุกขึ้นอภิปรายว่า “ด้วยเหตุผลที่ไม่มีการเลื่อนในวันนี้ และเป็นการประชุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอออกจากที่ประชุมแห่งนี้” และได้ออกไปพร้อมด้วยสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่ง
เปิดชื่อคนเสนอญัตติส่งศาลรัฐธรรมนูญ พบ สส. พลังประชารัฐ – เพื่อไทย – กล้าธรรม
เมื่อดูเอกสารเสนอญัตติด่วนที่นำโดย สว. เปรมศักดิ์ เพียยุระ พบว่ามีสมาชิกรัฐสภาคนอื่นๆ ร่วมลงชื่อด้วยอีก 61 คน เท่าที่พอจะแกะรายชื่อมาได้ พบว่ามี สว. ร่วมลงชื่ออย่างน้อย 20 คน และ สส. อย่างน้อย 21 คน
สว. อย่างน้อย 20 คนที่ร่วมลงชื่อ ได้แก่
- เศรณี อนิลบล
- พลตำรวจตรี อังกูร คล้ายคลึง
- ชูชาติ อินสว่าง
- ยุคล ชนะวัฒน์ปัญญา
- พ.ต.ท.วันไชย เอกพรพิชญ์
- ว่าที่พันตรี กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์
- เดชา นุตาลัย
- วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ
- วาสนา ยศสอน
- กมล สุขคะสมบัติ
- ประทุม วงศ์สวัสดิ์
- วิธาวีร์ ประทุมสวัสดิ์
- นิชาภา สุวรรณนาค
- มังกร ศรีเจริญกูล
- วีระพันธ์ สุวรรณนามัย
- สมบูรณ์ หนูนวล
- ชิบ จิตนิยม
- อภินันท์ เผือกผ่อง
- สุทิน แก้วพนา
- กิติศักดิ์ หมื่นศรี
สส. พรรคเพื่อไทย อย่างน้อยแปดคน ร่วมลงชื่อ ได้แก่
- มนพร เจริญศรี พรรคเพื่อไทย 283
- เอกธนัช อินรอด เลขที่ 495 พรรคเพื่อไทย
- ชูศักดิ์ แม้นทิม หมายเลข 100 พรรคเพื่อไทย
- ภูมพัฒน์ พชรทรัพย์ หมายเลข 280 พรรคเพื่อไทย
- เชิดชัย ตันติศิรินทร์ หมายเลข 393 พรรคเพื่อไทย
- สัพพัญญู ศิริไปล์ หมายเลข 399 พรรคเพื่อไทย
- พรเทพ พูนศรีธนากูล หมายเลข 239 พรรคเพื่อไทย
- วรวงค์ วรปัญญา หมายเลข323 พรรคเพื่อไทย
สส. พรรคกล้าธรรม อย่างน้อย 12 คน
- อรรถกร ศิริลักธยากร หมายเลข 479 พรรคกล้าธรรม
- นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา หมายเลข 197 พรรคกล้าธรรม
- องอาจ วงษ์ประยูร หมายเลข 459 พรรคกล้าธรรม
- เชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ หมายเลข 104 พรรคกล้าธรรม
- จตุพร กมลพันธ์ทิพย์ หมายเลข 041 พรรคกล้าธรรม
- ชัยทิพย์ กมลพันธ์ทิพย์ หมาย 086 พรรคกล้าธรรม
- สะถิระ เผือกประพันธุ์ หมายเลข 408 พรรคกล้าธรรม
- ปกรณ์ จีนาคํา หมายเลข 200 พรรคกล้าธรรม
- อัครแสนคีรี โล่ห์วีระ หมายเลข 487 พรรคกล้าธรรม
- เพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ หมายเลข 267 พรรคกล้าธรรม
- ปรีดา บุญเพลิง หมายเลข 221 พรรคกล้าธรรม
- จีรเดช ศรีวิราช หมายเลข 056 พรรคกล้าธรรม
สส. พรรคพลังประชารัฐ อย่างน้อยหนึ่งคน คือ
- กาญจนา จังหวะ พรรคพลังประชารัฐ