12 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14:00 น. แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมจัดวงคุยเรื่อง “ปลดล็อคประชาธิปไตย เขียนรัฐธรรมนูญใหม่” มีผู้ร่วมพูดคุยได้แก่ ประภาส ปิ่นตบแต่ง สมาชิกวุฒิสภา ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) จีรนุช เปรมชัยพรและณัชปกร นามเมือง เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ โดยรูปแบบกิจกรรมเป็นการให้ผู้เข้าร่วมได้แสดงความคิดเห็นและถามเรื่องรัฐธรรมนูญและอนาคตรัฐธรรมนูญประชาชนในประเด็นต่างๆ

สมาชิกวุฒิสภา
ปัญหาของสมาชิกวุฒิสภาคือ มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยน้อยแต่อำนาจทางการเมืองมาก เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีความชัดเจนว่า ผู้ยกร่างออกแบบให้อำนาจที่ไม่ได้มาจากเลือกตั้งอย่างสว.คัดง้างอำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง เมื่อถามว่า สว.เป็นตัวแทนของอะไร ถ้าตอบว่า ตัวแทนของกลุ่มอาชีพ เราจะเห็นว่า สว.ก็ไม่ทำงานในกมธ.ที่ตรงตามกลุ่มอาชีพของตนเอง หรือถ้าบอกว่า สว.เป็นตัวแทนจังหวัด เราก็จะเห็นว่า บางจังหวัดก็ไม่มีสว.เลย บางจังหวัดมีสว.จำนวนมาก เช่น บุรีรัมย์มีสว. 14 คน
หน้าที่ของรัฐ
เดิมทีในรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 มีการบัญญัติแยกหมวดสิทธิและเสรีภาพชัดเจน แต่รัฐธรรมนูญ 2560 เขียนหมวด “หน้าที่ของรัฐ” ขึ้นมาใหม่และย้ายเรื่องสิทธิและเสรีภาพไปอยู่ในหมวดดังกล่าว แนวทางการเขียนเป็นลักษณะว่า รัฐพึงจัดหา…. ซึ่งเปลี่ยนแปลงสถานะจากเดิมที่ประชาชนเป็นผู้ทรงสิทธิแต่รัฐธรรมนูญ 2560 ประชาชนกลายเป็นผู้รอสิทธิที่รัฐสรรหาให้
การประชุมรัฐสภาในวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2568
ขณะนี้มีรายงานข่าวว่า สว.บางกลุ่มจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอีกครั้ง ซึ่งสามารถทำได้แต่ต้องได้รับเสียงเห็นชอบข้างมากจากสมาชิกรัฐสภา แม้ว่า การยื่นสามารถทำได้แต่ขาดความชอบธรรมทางการเมือง คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 มีความชัดเจนแล้วว่า การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องทำประชามติสองครั้ง ไม่มีความจำเป็นต้องยื่นเพื่อตีความซ้ำอีก หากอ่านคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากก็จะเห็นว่า ให้ทำประชามติสองครั้ง ขณะเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญเคยทำภาพอินโฟกราฟฟิกระบุว่า ทำประชามติสองครั้ง นอกจากนี้พริษฐ์ วัชรสินธุ์ สส.พรรคประชาชนเคยขอเข้าพบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างไม่เป็นทางการก็ได้รับคำตอบว่า ทำประชามติสองครั้ง
ดังนั้นคำถามเรื่องการทำประชามติกี่ครั้งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญอีกเพราะข้อเท็จจริงทางกฎหมายชัดเจนแล้ว แต่เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในการยื่นอีกครั้งเป็นเรื่องการเมือง และต้องแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเมือง นอกจากนี้เห็นว่า แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีควรเข้ามาอยู่ในบทสนทนาว่าด้วยการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ สร้างความชัดเจนในทิศทางของกระบวนการ
รูปแบบของสสร.
ผู้ร่วมพูดคุยเห็นพ้องว่า ต้องการการเลือกตั้งสสร.ทั้งหมด เพราะมีบทเรียนจากรัฐธรรมนูญ 2560 ททำให้โจทย์ตอนนี้คือ จะทำอย่างไรให้ตัวแทนที่ประชาชนไว้วางใจให้เข้าไปยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งคือ การเลือกตั้งเห็นได้ว่า ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนเสนอให้มีการเลือกตั้งสสร. ทั้งหมด นอกจากนี้ผู้แทนที่ควรจะเป็นอาจจะแบ่งได้เช่น ตัวแทนในเชิงพื้นที่ ที่มีความสำคัญในการเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน และตัวแทนในเชิงประเด็น ซึ่งสามารถออกแบบได้หลายแบบ เช่น ระบบปาร์ตี้ลิสต์ลงเลือกตั้งกันเป็นทีมได้ ในส่วนของเนื้อหานั้นให้เป็นเรื่องที่สมาชิกสสร.พิจารณา
สสร.เลือกตั้ง 100 % ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นความฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและเกิดขึ้นได้ไม่ง่าย ทันทีที่มันเกิดขึ้นหมายถึงอำนาจอยู่ในมือประชาชน