จับตา #แก้รัฐธรรมนูญ season 6 ตั้ง สสร. เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2568

วันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาซึ่งประกอบด้วยไปสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีวาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมสองฉบับ ฉบับแรกเสนอโดย สส. พรรคประชาชน และอีกฉบับเสนอโดย สส. พรรคเพื่อไทย สาระสำคัญคือ ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 200 คน มาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อใช้แทนที่รัฐธรรมนูญ 2560

ข้อเสนอดังกล่าว ไม่ใช่ข้อเสนอที่เพิ่งมีขึ้นครั้งแรกหลังรัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ ย้อนกลับไปเมื่อ 17-18 พฤศจิกายน 2563 รัฐสภาเคยพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเจ็ดฉบับ สามฉบับมีเนื้อหาตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เช่นกัน ได้แก่ ร่างที่เสนอโดย สส. พรรคเพื่อไทย เสนอโดย สส.พรรคพลังประชารัฐ และอีกฉบับ เสนอโดยภาคประชาชนเข้าชื่อกัน 100,732 คน แต่รัฐสภา รับหลักการร่างสองฉบับเท่านั้น คือร่างจากพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ ส่วนร่างภาคประชาชนตกไป เมื่อกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญเดินทางถึงวาระสาม ร่างแก้รัฐธรรมนูญกลับตกไปเพราะได้เสียงเห็นชอบไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา เพราะ สว. แต่งตั้งส่วนใหญ่ เลือกโหวตงดออกเสียง และไม่ประสงค์ลงคะแนน เพราะกลัวว่าจะขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ที่บอกว่ารัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรมนูญใหม่ได้ แต่ต้องทำประชามติ “ก่อน”

กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ “พายเรืออยู่ในอ่าง” เพราะรัฐบาลนำโดยพรรคเพื่อไทย “ติดกับดัก” ที่ สส. พรรคพลังประชารัฐ และ สว. แต่งตั้งวางไว้ โดยไปเลือกแนวทางการทำประชามติ “ก่อน” กลายเป็นโรดแมปที่ต้องทำประชามติถึงสามครั้งกว่าจะได้รัฐธรรมนูญใหม่ จนกระทั่งช่วงปลายปี 2567 พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.พรรคประชาชน นัดหมายพูดคุยกับทั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานรัฐสภา และฝ่ายกฎหมายของรัฐสภา จนได้ข้อสรุปว่า รัฐสภาพร้อมบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ พริษฐ์ จึงนำ สส.จากพรรคประชาชนเสนอฉบับใหม่ขึ้นมา ต่อมา 8 มกราคม 2568 สส. พรรคเพื่อไทยก็ได้เสนอร่างมาประกบ

เปรียบเทียบข้อเสนอ ปชน. ระบบเลือกตั้ง สสร. ผสมบัญชีรายชื่อ แบ่งเขต สสร. เขียนใหม่ทั้งฉบับ พท. เสนอระบบแบ่งเขต ห้าม สสร. แตะหมวด 1 – หมวด 2

แม้ร่างแก้รัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับจะหลักการสำคัญตรงกัน คือ ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อทำหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ในรายละเอียดก็แตกต่างกันออกไป จุดต่างสำคัญของร่างทั้งสองฉบับ มีอยู่สองประเด็น คือ

  1. สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) สามารถจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ “ทั้งฉบับ” ได้หรือไม่ ในร่างฉบับพรรคประชาชน กำหนดให้ สสร. มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐที่เป็นรัฐเดี่ยวแบ่งแยกไม่ได้ ขณะที่ร่างพรรคเพื่อไทย จำกัดอำนาจ สสร. มากกว่านั้น คือ ห้ามจัดทำรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาแก้ไข หมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ ตามแนวทางของพรรคเพื่อไทย สสร. ไม่สามารถจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับได้ เนื้อหาในหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ จะยังคงเหมือนในรัฐธรรมนูญ 2560
  2. ระบบเลือกตั้ง สสร. ร่างฉบับพรรคประชาชนเสนอใช้ “ระบบผสม” สสร. จำนวน 200 คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตจังหวัด 100 คน ส่วนอีก 100 คนมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อโดยใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ขณะที่ร่างพรรคเพื่อไทย สสร. 200 คนมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตจังหวัดทั้งหมด
  • อ่านเทียบสองข้อเสนอแก้ 256 ปชน.-พท. เพื่อเลือกตั้ง สสร. เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ https://www.ilaw.or.th/articles/50327
  • อ่านสรุปเนื้อหาร่างแก้รัฐธรรมนูญฉบับพรรคประชาชน https://www.ilaw.or.th/articles/49780
  • อ่านสรุปเนื้อหาร่างแก้รัฐธรรมนูญฉบับพรรคเพื่อไทย https://www.ilaw.or.th/articles/50234

ผ่านด่านแรกต้องใช้เสียงเห็นด้วย 346 เสียง เป็นเสียง สว. อย่างน้อย 67 เสียง

ร่างแก้รัฐธรรมนูญจะผ่านด่านวาระแรกได้ รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 256 (3) กำหนดเงื่อนไขไว้สองประการ คือ

  1. ต้องได้รับเสียงเห็นชอบ “ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง” ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
  2. ในจำนวนเสียงเห็นชอบดังกล่าว ต้องมีเสียง สว. ที่เห็นชอบด้วย “ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม” ของจำนวน สว. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

ก่อนถึงวันพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญ ข้อมูลวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 รัฐสภามีสมาชิกทั้งหมด 692 คน แบ่งเป็น สส. 493 คนจากจากจำนวนเต็มตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ คือ 500 คน และ สว. 199 คนจาก 200 คน ดังนั้น ร่างแก้รัฐธรรมนูญจะผ่านวาระหนึ่งได้ ต้องใช้เสียงเห็นชอบจาก สส. และ สว. 346 เสียง และในจำนวนนี้ต้องมี สว. ที่รับหลักการอย่างน้อย 67 เสียง

เหตุที่ทำให้ สส. และ สว. ไม่ครบจำนวน มีสองสาเหตุ คือ

  1. สิ้นสุดสมาชิกภาพลง ในคดียุบพรรคก้าวไกล โดยมีอดีต สส. ห้าคนที่เข้าข่ายกรณีนี้ ได้แก่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชัยธวัช ตุลาธน อภิชาติ ศิริสุนทร เบญจา แสงจันทร์ สุเทพ อู่อ้น
  2. ศาลมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ประกอบด้วย
  • สส. สองคน จากพรรคภูมิใจไทย ได้แก่ มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล และสุวรรณา กุมภิโร
  • สว. หนึ่งคน คือ สมชาย เล่งหลัก สว. กลุ่มที่ 19 กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ

ย้อนดูจุดยืน สว. ต่อการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่

ย้อนกลับไปช่วงแนะนำตัวผู้สมัคร สว. 2567 ก่อนกระบวนการเลือกกันเอง เว็บไซต์ https://senate67.com เปิดให้ผู้สมัครแนะนำตัว-ประกาศจุดยืนในหลากประเด็น ในจำนวนผู้สมัครที่ประกาศจุดยืน 1,715 คน มีผู้สมัครที่ได้รับเลือกเป็น สว. ทั้งสิ้น 24 คน ซึ่งแต่ละคนก็มีจุดยืนที่แตกต่างกันโดย หนึ่งในนั้นคือจุดยืนเรื่องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ มี สว. อย่างน้อย 19 คน ที่เคยแสดงจุดยืนว่าต้องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ แต่ในผู้ที่เห็นด้วยกับ “เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ” ก็มีเงื่อนไขแตกต่างกันออกไป โดย 10 คนจาก 19 คน ประกาศชัดเจนว่าเห็นด้วยกับการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ขณะที่อีกเจ็ดคน เห็นด้วยกับการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ แต่ก็ “พร้อมพิจารณา” ร่างแก้รัฐธรรมนูญที่ล็อกห้าม สสร. แตะหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ และอีกสองคนเห็นด้วยทั้งเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับและเห็นด้วยกับการล็อกห้าม สสร. แตะหมวด 1 หมวด 2

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

บทความยอดนิยม

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage