สารบัญ
แสดง / ซ่อน

จับตาคำพิพากษาอุทธรณ์ ม. 112 ของ พอร์ท-ไฟเย็น กรณีโพสต์เฟซบุ๊กต่อต้านสิ่งงมงายและอีก 2 ข้อความ
23 มกราคม 2568 เวลา 9:00 น. ศาลอาญานัดปริญญา ชีวินกุลปฐม หรือพอร์ท นักร้องนักดนตรีวงไฟเย็น ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หมายเลขคดีที่ อ.1245/2564 ในฐานความผิดหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากกรณีการโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว รวมสามข้อความระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม 2568 โดยมีพ.ต.อ.โอฬาร สุขเกษม ขณะเกิดเหตุเป็นผู้กำกับการกองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เป็นผู้ร้องทุกข์
วันที่ 15 สิงหาคม 2565 ศาลอาญาพิพากษาว่า ทั้งสามข้อความหมิ่นประมาทกษัตริย์จำคุกเก้าปี ลดโทษหนึ่งในสามเหลือโทษจำคุกหกปี ผ่านมากว่าสองปีจึงมีกำหนดนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
พอร์ทระบุว่า หลังมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นและได้รับประกันตัว เขาก็รอคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตลอด “รู้สึกว่านานจังก็เลยคิดว่า ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่เหมือนกันแต่ก็โอเค ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกก็ใช้ชีวิตเรื่อย ๆ แต่ข้อเสียคือเราไม่สามารถไปเริ่มต้นอะไรได้ง่ายๆเพราะว่ามันยังติดคดีอยู่ อายุก็มากแล้วมันก็สมัครงานยากก็เลยยังอยู่ที่บ้าน ช่วยงานที่บ้านไป” เขาบอกว่า พอได้รับหมายให้มาฟังคำพิพากษาอุทธรณ์ก็เริ่มกังวลเพราะว่า อาจจะไม่ได้รับการประกันตัวด้วยเงื่อนไขทางการเมืองที่เปลี่ยนไป
สำหรับการเตรียมตัวเพื่อไปฟังคำพิพากษาเขาระบุว่า เหมือนกับตอนที่เตรียมตัวไปฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นคือคิดแบบ “Worst case scenario” ครั้งนี้คิดถึงว่า จะตายในคุกเลย สืบเนื่องจากการป่วยตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันในช่วงปี 2561 ที่ทำให้ตับอ่อนเสียไปแล้วส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ยังส่งผลกับการสร้างอินซูลินด้วย อาการเจ็บป่วยส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันที่ตับอ่อนเริ่มเสื่อมลง ทำให้ตั้งแต่ปี 2566 ค่าไขมันไตรกลีเซอไรด์ของเขาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามปกติแล้วไม่ควรจะเกิน 200 แต่ว่าขึ้นมา 300 และเริ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ที่หกร้อย เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ค่าไขมันขึ้นจาก 900 เป็น 2,898 ซึ่งวิกฤติมาก แพทย์ระบุว่า อาการแย่ลงและมีโอกาสที่อาการจะกำเริบเหมือนในปี 2561 อีกครั้ง
ถ้าหากเขาไม่ได้รับการประกันตัวจะส่งผลต่อการดูแลสุขภาพของเขาเพราะเขาต้องใช้ยาฉีดที่ต้องเก็บรักษาในตู้เย็น ซึ่งเรือนจำในแดนปกติไม่สามารถเก็บรักษาได้ อาจจะต้องไปอยู่ในโรงพยาบาลราชทัณฑ์เพื่อให้เจ้าหน้าที่จ่ายยาให้ฉีด ซึ่งเขาจะเตรียมเอกสารรับรองอาการป่วยของเขา
เมื่อถามถึงความกังวลของแม่พอร์ทเล่าว่า “ผมคิดว่า เขาคงมีความเครียดอยู่บ้าง คือเขาพยายามจะไม่คิด รอมันเกิดก่อนค่อยว่ากันก็อาจจะคล้ายๆผมก็ได้ ตอนที่ได้หมายนัดก็บอกแม่ผมมีโอกาสตายนะแม่ บอกอย่างงี้เลยจะทำอะไรรีบทำนะ…เวลาเหลือน้อยแล้ว ผมอาจจะตายในคุกก็ได้ ที่บ้านบอกโอ้ย ไม่ตายหรอกเดี๋ยวก็ได้ประกัน รอบที่แล้วยังได้ประกันเลย ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรหรือเปล่า เพราะว่าที่บ้านไม่ค่อยแสดงออก แต่ละคนชอบไปเก็บเอาไว้…ต่อหน้าไม่พูดอะไร”
พอร์ทยอมรับว่า “ช่วงที่ผ่านมาผมก็มีบางช่วงอารมณ์ที่ค่อนข้างดาวน์เหมือนกัน เมื่อคิดถึงเรื่องว่ากูต้องตายแล้วก็ดาวน์เหมือนกัน” เมื่อถามว่า หากจะต้องเข้าไปในเรือนจำอยากให้ทำอะไรให้บ้าง เขาบอกว่า อยากจะให้ช่วยพูดถึงเรื่องคดีการเมืองโดยเฉพาะเรื่องมาตรา 112 และการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
อ่านเพิ่มเติม
๐ พอร์ท ไฟเย็น: จังหวะชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในฤดูร้อน
๐ ย้อนฟังคลิปสัมภาษณ์พอร์ท ไฟเย็น

ศาลอุทธรณ์พิพากษา ม.112 ยืนตามศาลชั้นต้น จำคุกพอร์ท-ไฟเย็น 9 ปี ก่อนลดโทษเหลือ 6 ปี ไม่รอลงอาญา
23 มกราคม 2568 เวลา 09.00 น. ณ ห้องพิจารณาคดีที่ 608 ศาลอาญานัดปริญญา ชีวินกุลปฐม หรือพอร์ท นักร้องนักดนตรีวงไฟเย็น ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หมายเลขคดีที่ อ.1245/2564 ในความผิดตามข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บรรยากาศในห้องพิจารณามีมารดาของพอร์ท-ปริญญา ผู้สังเกตการณ์คดีและประชาชนมาให้กำลังใจพร้อมทั้งร่วมรับฟังผลคดีประมาณ 10 คน
เวลา 09.41 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์และอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเวลา 09.52 น. มีใจความว่าในความผิดตามมาตรา 112 ที่จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยยืนยันว่าการกระทําของจําเลยมิได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ รัชทายาท และจําเลยไม่มีเจตนากระทําความผิด เนื่องจากจําเลยมิได้กล่าวหรือเขียนถึงพระนามของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทพระองค์ใด และไม่ได้มีถ้อยคําหยายคาย อีกทั้งไม่มีพยานโจทก์ปากใดเบิกความยืนยันว่า จําเลยกระทําความผิดต่อรัชกาลที่ 9 และรัชทายาท (ขณะเกิดเหตุ) จึงขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
ศาลอ่านคำเบิกความของฝ่ายโจทก์ที่อ้างพยานสองคนซึ่งมิใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจว่า พยานทั้งสองเป็นผู้ไปติดต่อราชการที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และมีการสอบสวนพยานเกี่ยวกับการโพสต์ข้อความและภาพถ่ายที่มีเนื้อหาจาบจ้วง ล่วงเกินสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2559 พยานทั้งสองเห็นว่าข้อความดังกล่าวเป็นการใส่ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่เป็นความจริงเนื่องจากประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์อยู่คู่สังคมไทยและคนไทยมาอย่างยาวนาน ในทางรัฐศาสตร์สถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญมีสถานะเป็นพระประมุข เป็นสิ่งที่ต้องเคารพยกย่องและเทิดทูน ฉะนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์จึงไม่ใช่สิ่งงมงาย
จากเนื้อหาของเพลงที่โพสต์ จำเลยใช้คำว่า “กากสัส” ซึ่งเป็นการสื่อให้เข้าใจได้ว่าหมายถึง “กษัตริย์” โดยเลี่ยงมาใช้คำเลียนเสียงในคำว่า “กากสัส” และเนื้อหาที่แต่งออกมาเป็นการใส่ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน เช่น ใช้คำว่า “สถาบันอะไรกดหัวผู้คน สั่งฆ่าประชาชน หนุนรัฐประหาร” มีการสื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าเป็นคนสั่งฆ่าประชาชนและสนับสนุนการรัฐประหาร
ในส่วนของข้อความที่สามที่จำเลยโพสต์ข่าวพร้อมเขียนกำกับว่าการทำรัฐประหารในประเทศตุรกีที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะไม่มีพระมหากษัตริย์นั้นเหมือนกับการโยนความผิดให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่ถูกต้อง
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการโพสต์ทั้งสามข้อความของจำเลยเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกินสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย เนื่องจากประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์อยู่คู่สังคมไทยและคนไทยมาอย่างยาวนาน ในทางรัฐศาสตร์สถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญมีสถานะเป็นพระประมุข เป็นสิ่งที่ต้องเคารพยกย่องและเทิดทูน ฉะนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์จึงไม่ใช่สิ่งงมงาย และโพสต์ของจำเลยทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าเป็นคนสั่งฆ่าประชาชนและสนับสนุนการรัฐประหารทำให้พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง มีเจตนาทำลายพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่เคารพบูชาของประชาชนชาวไทย พยานของโจทก์จึงรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องจริง อุทธรณ์ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิด โดยจำเลยไม่มีเจตนาดูหมิ่น หมิ่นประมาทหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ นั้นเห็นว่า เป็นการหมิ่นประมาทอดีตพระมหากษัตริย์ย่อมกระทบพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันที่ครองราชย์อยู่ จะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชฯ ทรงเป็นพระบิดาของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ รัชกาลปัจจุบัน
หากตีความว่า “พระมหากษัตริย์” ต้องเป็นองค์ปัจจุบันที่กำลังทรงครองราชย์อยู่เท่ากับเป็นช่องทางให้เกิดการละเมิด หมิ่นประมาทให้กระทบต่อพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันได้ หากเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้วก็ย่อมกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของประชาชน อาจนำไปสู่ความไม่พอใจและอาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรได้ อุทธรณ์ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น
อุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีดีขึ้น ศาลพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
เวลา 10.01 น. ตำรวจศาลเข้าควบคุมตัวพอร์ท-ปริญญา พร้อมใส่กุญแจมือก่อนนำตัวลงไปยังห้องเวรชี้เพื่อรอการประกันตัว ต่อมาเวลา 16.13 น. ศาลมีคำสั่งส่งคำร้องขอประกันตัวให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณา ทำให้พอร์ท-ปริญญาถูกส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพทันที