4 ธันวาคม 2567 ที่ห้องประชุม 50 ปี ชมรมวิชาการ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดงานเสวนาวิชาการ ชื่อหัวข้อ “ทางออกไทยผ่านรัฐธรรมนูญประชาชน” โดยมีทั้งนักวิชาการ ภาคประชาชน และนักการเมือง ร่วมพูดคุยในประเด็นความเป็นไปได้ของการออกจากรัฐธรรมนูญ 2560

ผศ.ดร. มาลินี คุ้มสุภา หัวหน้าสำนักวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวปาฐกถาว่า สังคมไทยไม่ได้เปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยอยู่ดีดีก็เอารัฐธรรมนูญมาวางได้เลย สังคมไทยเดิมมีพระมหากษัตริย์ที่มีอำนาจสูงสุด การแทนที่อำนาจนี้เป็นเรื่องใหญ่และยาก ซึ่งในยุโรปพัฒนาการสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18-19 พบว่าสิ่งที่มาแทนการยึดติดตัวบุคคลได้คือการมีกติการ่วมกัน แนวคิดนี้เผยแพร่มาสู่สังคมไทยโดยการให้ความหมายว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ หมายความว่าสูงสุดจริงๆ สูงกว่าพระมหากษัตริย์ด้วย
ความสำคัญของรัฐธรรมนูญเริ่มตั้งแต่ช่วงร.ศ.103 หรือต้นของรัชกาลที่ 5 ก่อนการปฏิรูปการปกครอง เคยมีคณะเจ้านายกลุ่มหนึ่งและข้าราชการเข้าชื่อกันขอให้พระมหากษัตริย์นำรัฐธรรมนูญมาใช้ในการปกครองประเทศ แต่รัฐกาลที่ 5 ทรงเขียนจดหมายตอบโต้และหันไปปฏิรูปการปกครองแผ่นดินก่อนที่จะพูดเรื่องรัฐธรรมนูญ
ถัดมาในสมัยร.ศ.130 ภายใต้รัชกาลที่ 6 ก็มีกลุ่มนายทหารที่เห็นความสำคัญ และพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองแต่ไม่สำเร็จ ถูกเรียกว่ากบฏ ร.ศ.130 จึงเห็นว่ามีความพยายามเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงของสองรัชกาล ก่อนจะมาสำเร็จในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 หลังจากสำเร็จแล้วความสำคัญของรัฐธรรมนูญจึงค่อยๆ ขยายตัว
ในปี 2476 ระหว่างที่มีความพยายามจะมีพรรคการเมืองในนามสมาคมคณะราษฎร ก็ถูกพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรกสั่งยุบสมาคมไปเป็นสโมสรราษฎร์สราญรมย์ จะเห็นได้ว่าความพยายามยุบพรรคหรือขัดขวางการมีพรรคการเมืองมีมาตั้งแต่ยุคแรกของประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย กว่าจะมีพระราชบัญญัติพรรคการเมืองฉบับแรกก็ในปี 2498 ใช้เวลากว่า 20 ปี กว่าจะมีกฎหมายให้จัดตั้งพรรคการเมือง และมีการเลือกตั้งได้
ความคิดเรื่องรัฐธรรมนูญค่อยๆ พัฒนามาในสังคมไทย โดยเมื่อมีรัฐธรรมนูญแล้วก็มีพรรคการเมือง มีการเลือกตั้ง มีปัญหาการเลือกตั้งสกปรก แล้วก็มีรัฐประหาร กลายเป็นวงจรอุบาทว์ในสังคมไทย พัฒนาการของพรรคการเมืองและการเลือกตั้งก็ไปไหนไม่ได้เพราะต้องเจอกับการรัฐประหารเป็นช่วงๆ

พัฒนาการของประชาธิปไตยมาก้าวกระโดดขึ้นไปผ่านการปฏิรูปการเมืองในปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ใจฟู เราเคยเลือกตั้งได้ทั้งสส. แต่ก็ไปวางกับดักที่คอยสกัดกั้นพรรคการเมืองอีก คือ การเกิดขึ้นขององค์กรอิสระ และนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองผ่านคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ กลายเป็นกับดักที่ร้ายกายสร้างบาดแผลให้กับสังคมไทยในเวลาต่อมา
พรรคการเมืองตั้งแต่ 2475 เป็นต้นมามีอุปสรรคคอยสกัดกั้นเรื่อยมา จนกระทั่งปี 2540 ที่เราว่าจะไปให้ถึงฝันแล้ว ก็โดนกับดักขององค์กรอิสระมาสกัดกั้นเช่นกัน และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ฝักรากอยู่ในการเมืองไทยก็คือ บทบาทของตุลาการนำการเมือง ก็คือการยุบพรรค
ตั้งแต่ปี 2541 ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมืองไปแล้ว 110 พรรค นี่คือกับดักหรือผลงานที่องค์กรอิสระทำงานผ่านศาล องค์กรเหล่านี้ก็มีที่มาทั้งจากคณะรัฐประหารคสช. ที่แต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รวมทั้งวุฒิสภา มาเพื่อแต่งตั้งองค์กรอิสระทั้งหลาย เราเห็นแล้วว่าวันนี้มันมีกับดักในรัฐธรรมนูญ
ถึงวันนี้เราหมดหวังไหม ไม่นะคะ เพราะองค์กรอิสระตั้งมาได้ก็หมดอายุได้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็กำลังจะหมดอายุหลายคน กกต. ปีนี้ยังไม่หมดอายุ ปี 2568 ก็จะหมดอายุได้ ความฝันคือการหาวิธีที่จะทำให้อำนาจขององค์กรเหล่านี้หมดอายุไป
เราจะเห็นกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีการสกัดกั้นด้วยจำนวน สส. สว. เสนอมาแล้วยี่สิบกว่าครั้งก็ไม่ผ่าน แต่ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จมาแล้ว 22 ครั้ง ในรอบ 87 ปี แม้กระทั่งในช่วงที่ไม่มีการเลือกตั้งก็ยังสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ 12 ครั้ง แบ่งเป็น 5 ครั้งหลังวิกฤตการณ์ทางการเมือง 7 ครั้งหลังรัฐประหาร เช่น รธน. 2557 ยังแก้ไปถึง 4 ครั้ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 จึงไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ แม้รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะออกแบบมาให้แก้ไขยากกว่ารัฐธรรมนูญหลายฉบับที่ผ่านมา
ชาติชาย ธรรมโม เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ภาคเหนือ กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญ 2560 อำนาจอธิปไตยไม่ได้เป็นของประชาชน แต่เป็นของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และเป็นขององค์กรอิสระ และยังมีคนอีกคนหนึ่งที่มีอำนาจสูงสุดอยู่ในรัฐธรรมนูญนี้ ทำให้การจะทำอะไรบางอย่างกับรัฐธรรมนูญหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทำไม่ได้
รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ยอมให้เกิดการกระจายความมั่งคั่งให้ประชาชน ระบบเศรษฐกิจภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ผูกขาดไว้กับ “ทุนใหญ่” ทั้งเรื่องการเกษตร สารเคมี หรือการสร้างถนนหนทาง รถไฟสายกรุงเทพถึงเชียงราย บริษัทขนาดใหญ่ก็ได้สัมปทาน
แม้รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 ก็มีปัญหาในเรื่องบทบาทขององค์กรอิสระ แต่ยังมีพื้นที่ให้ประชาชน เช่น สิทธิชุมชุนในการจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ให้สิทธิตรงนี้และพยายามรวบทรัพยากรทั้งหมดให้เป็นของรัฐ เรื่องการกระจายอำนาจก็มีปัญหามาก เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้เขียนแม้แต่คำเดียวว่า “กระจายอำนาจ” มีแค่เรื่องการปกครองส่วนท้องถิ่น
เราเห็นด้วยกับการแก้ทั้งฉบับ ไม่ใช่รายมาตรา และเป็นฉบับประชาชนเท่านั้น ซึ่งเป็นงานยากมาก อาจจะไม่ได้ภายในปี 2570 ด้วยซ้ำ เราต้องทำงานมวลชน เราต้องทำงานรณรงค์ เราต้องทำงานวิชาการ เราต้องกดดันและเคลื่อนไหว เรื่องรัฐธรรมนูญอาจจะลอยออกไปจากพี่น้องที่ทำมาหากิน มันไม่มีคุณค่าร่วมกัน เราอยากเห็นทุกคนออกมาพูดว่าตัวเองมีความฝันอะไร นักศึกษาอยากเห็นการศึกษาแบบไหน ชุมชนพูดเรื่องของตัวเอง เพื่อหาคุณค่าร่วมกัน

พริษฐ์ วัชระสินธุ ประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวว่า เมื่อพูดเรื่องรัฐธรรมนูญอาจจมีความเป็นนามธรรม แต่ถ้าพูดถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้นทางการเมืองไทย เช่น นักการเมืองถูกตัดสิทธิตลอดชีวิตเพราะการโพสเฟซบุ๊กที่โพสไว้หลายปีก่อนสมัครเป็นสส. เราก็จะเห็นปัญหาของรัฐธรรมนูญได้มากขึ้น
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 มีสองเส้นทาง คือ การจัดทำฉบับใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งเราเสกมันขึ้นมาไม่ได้ ต้องทำโดยแก้รัฐธรรมนูญฉบับเดิมและสร้างกลไกขึ้นมา เช่น การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) และการแก้ไขรายมาตรา ที่จะแก้ไขปัญหาบางอย่างระหว่างทางได้ก่อนจะมีฉบับใหม่มาแทนที่ฉบับปี 2560 ซึ่งพรรคประชาชนเห็นว่า จะต้องทำทั้งสองทางไปควบคู่กัน
นโยบายรัฐบาลต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็วที่สุด ซึ่งพรรคฝ่ายค้านก็เห็นด้วยว่าต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น เวลานี้ล่วงเลยมาแล้วสี่ปีครึ่ง ไม่สามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันการมีเลือกตั้งครั้งหน้าได้แล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะมีการลดเงื่อนไขการทำประชามติ จากที่รัฐบาลวางไว้สามครั้ง ให้เหลือสองครั้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องผ่านด่านประธานรัฐสภา ต้องยอมบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่การพิจารณาเลย และต้องผ่านด่านวุฒิสภา หรือ สว. ซึ่งก็ต้องอาศัยเสียงสว. อย่างน้อย 1 ใน 3 เพื่อที่จะเดินหน้าได้