ในประเทศที่ปกครองตามระบอบประชาธิปไตย เสรีภาพการแสดงออกถือเป็นพื้นฐานสำคัญของประชาชน ในการมีส่วนร่วม ตรวจสอบ รวมถึงตั้งคำถามกับการใช้อำนาจของรัฐบาล ซึ่งเสรีภาพการแสดงออกเป็นหลักการสากลที่ได้รับการรับรองในบริบทของกฎหมายระหว่างประเทศอย่างกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ด้วย
สำหรับประเทศไทย เสรีภาพการแสดงออกได้รับการคุ้มครองไว้ในกฎหมายสูงสุดอย่างรัฐธรรมนูญ และเมื่อเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญถาวรสามฉบับ คือ ปี 2540 2550 และ 2560 พบว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ตัดความเป็นส่วนตัว-สิทธิครอบครัว-สุขภาพจิต จากข้อยกเว้นการใช้เสรีภาพการแสดงความคิดเห็น ตัดการคุ้มครองการสอน อบรม วิจัย จากเสรีภาพทางวิชาการ และการรับรองเสรีภาพของสื่อกว้างๆ ว่า “บุคคลที่ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน”
ตัดความเป็นส่วนตัว-สิทธิครอบครัว-สุขภาพจิต จากข้อยกเว้นการใช้เสรีภาพแสดงความเห็น
รัฐธรรมนูญ 2540, 2550 และ 2560 รับรอง ‘เสรีภาพการแสดงความคิดเห็น’ เอาไว้โดยใช้ข้อความเดียวกันว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น”
ทั้งนี้ การใช้เสรีภาพการแสดงความคิดเห็นมีข้อยกเว้น ซึ่งรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับได้กำหนดไว้ โดยในรัฐธรรมนูญ 2560 ระบุว่า “การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน”
อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 จะพบว่า รัฐธรรมนูญปัจจุบันได้ตัดถ้อยคำซึ่งเป็นข้อยกเว้นเรื่องการใช้เสรีภาพการแสดงความคิดเห็นบางส่วนออกไป จากเดิมที่เคยมีในรัฐธรรมนูญสองฉบับในอดีต อันได้แก่ เพื่อคุ้มครอง “เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัวหรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น” และ “เพื่อป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจ” ของประชาชน
เท่ากับว่ารัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 กำหนดข้อยกเว้นการใช้เสรีภาพแสดงความเห็นในประเด็นชื่อเสียง ความเป็นส่วนตัว และประเด็นสุขภาพจิตได้ครอบคลุมและรัดกุมมากกว่ารัฐธรรมนูญ 2560
การคุ้มครองการสอน อบรม วิจัย หายไปจากเสรีภาพทางวิชาการ
รัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในทางวิชาการ” เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 แต่มีข้อสังเกตคือ เสรีภาพทางวิชาการในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันปรากฏอยู่ในวรรคสองของมาตรา 34 ซึ่งเป็นมาตราเดียวกันกับเสรีภาพการแสดงความเห็น ขณะที่เสรีภาพทางวิชาการในรัฐธรรมนูญสองฉบับก่อนหน้าแยกออกจากเสรีภาพการแสดงความเห็นเป็นมาตราของตัวเอง
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญ 2560 ยังได้ตัดข้อความที่รับรองเสรีภาพทางวิชาการในการเรียน การสอน และการวิจัยออกไป ซึ่งเคยปรากฏในรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ว่า “การศึกษาอบรม การเรียนการสอน การวิจัย และการเผยแพร่งานวิจัยตามหลักวิชาการย่อมได้รับการคุ้มครอง”
ทั้งนี้ การใช้เสรีภาพทางวิชาการมีข้อยกเว้นโดยรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับบัญญัติว่า การใช้เสรีภาพนั้นทำได้เท่าที่ “ไม่ขัดต่อหน้าที่ของพลเมืองหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญ 2560 ยังได้เพิ่มข้อยกเว้นอีกข้อหนึ่งมีถ้อยคำว่า “ต้องไม่ปิดกั้นความเห็นต่างของบุคคลอื่น”
เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว อาจารย์ประจำสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา พูดถึงประเด็นเสรีภาพทางวิชาการ ไว้ว่า นักวิชาการไม่ได้มี และไม่ควรมีสิทธิหรือเสรีภาพในการแสดงความเห็นมากกว่าคนอื่น ทุกคนควรจะมีเท่ากัน และควรได้รับการปกป้องแบบเดียวกัน โดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตยที่เชื่อในเรื่องการมีปากมีเสียงของประชาชน
ถึงอย่างนั้น เบญจรัตน์อธิบายต่อว่า ‘เสรีภาพทางวิชาการ’ หมายถึง เสรีภาพในการค้นคว้าและเสนอความรู้ใหม่ๆ หรือประเด็นอ่อนไหวที่สังคมยังไม่ยอมรับ และเสรีภาพในการปฏิบัติหน้าที่ทางวิชาการ เช่น การเรียน การสอน หรือการวิจัย เสรีภาพทางวิชาการจึงเป็นหลักประกันไม่ให้มีการใช้อำนาจหรือความสัมพันธ์เชิงอำนาจแก่บุคลากรทางวิชาการ เช่น การขู่ว่าจะลงโทษ การไม่ต่อสัญญาจ้างอาจารย์ เพื่อปิดปากหรือปรามการค้นคว้าหรือการถกเถียงที่แตกต่าง
รับรองเสรีภาพของสื่อไว้กว้างๆ ว่า “บุคคลที่ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน”
รัฐธรรมนูญ 2540 ถึงปัจจุบันล้วนรับรองหลักการ ‘เสรีภาพสื่อ’ เอาไว้ แต่ต่างกันในรายละเอียด โดยรัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติในมาตรา 35 ระบุว่า “บุคคลที่ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวหรือแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ”
จากเดิมรัฐธรรมนูญ 2540 บัญญัติรับรองเสรีภาพสื่อในมาตรา 41 ระบุว่า “พนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าว และแสดงความคิดเห็นภายใต้ข้อจำกัดตามรัฐธรรมนญู โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าของกิจการนั้น แต่ต้องไม่ขัดต่อจรรยาบรรณแห่งการประกอบวิชาชีพ” ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2550 บัญญัติไว้เหมือนกัน แต่เพิ่มคำว่า “หรือสื่อมวลชนอื่น” เข้าไปหลังวิทยุโทรทัศน์เพื่อขยายความรับรองเสรีภาพสื่อในกิจการสื่ออื่นๆ
ขณะที่รัฐธรรมนูญ 2560 ใช้ข้อความว่า “บุคคลที่ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน” รัฐธรรมนูญ 2540 ได้ใช้ข้อความระบุและจำแนกประเภทสื่อไว้อย่างละเอียดรัดกุมเลยว่า “พนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์” ซึ่งต่อมารัฐธรรมนูญ 2550 ได้เพิ่มคำว่า “หรือสื่อมวลชนอื่น” ตามมาอีกถ้อยคำหนึ่งให้กินความหมายกว้างขึ้น เห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญ 2560 รับรองเสรีภาพสื่อไว้โดยมีขอบเขตอย่างกว้างๆ ขณะเดียวกันก็ไม่เจาะจงรายละเอียด
รัฐตรวจสอบสื่อได้เฉพาะช่วงสงคราม แต่ไม่ได้ระบุว่าต้องใช้อำนาจทางกฎหมายใด
รัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับได้กำหนดห้ามไม่ให้มีการสั่งปิดสื่อมวลชนเอาไว้ โดยรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 35 ระบุว่า การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนอื่น เพื่อลิดรอนเสรีภาพสื่อจะทำไม่ได้ ขณะที่รัฐธรรมนูญ 2550 ใช้ข้อความเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ 2560 อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญ 2540 ต่างออกไป โดยมาตรา 39 ระบุชัดเจนและเจาะจงว่าห้ามสั่งปิดสื่อสามประเภทด้วยกัน ได้แก่ โรงพิมพ์ สถานีวิทยุ และสถานีโทรทัศน์
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม เสรีภาพสื่อจะถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญอนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาตรวจการนำเสนอข่าวก่อนที่จะนำไปโฆษณาในสื่อต่างๆ ได้ ทั้งนี้ ในรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้กำหนดเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ว่า การให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบสื่อทำได้โดยต้องออกกฎหมายมาให้อำนาจเท่านั้น
ห้ามรัฐให้เงินสื่อมวลชนเอกชน ยกเว้นเพื่อซื้อโฆษณา
รัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับห้ามไม่ให้รัฐให้เงินหรือสนับสนุนด้วยทรัพย์สินอย่างอื่นอุดหนุนกิจการสื่อมวลชนอื่นของเอกชน แต่รัฐธรรมนูญ 2560 มีข้อยกเว้นในกรณีหน่วยงานรัฐจ่ายเงินให้สื่อมวลชนเพื่อการซื้อโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์ หรือเพื่อการอื่นใดในทำนองเดียวกัน ต้องเปิดเผยรายละเอียดให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและประกาศให้ประชาชนทราบด้วย
รัฐธรรมนูญ 2550 ระบุห้ามรัฐ เจ้าของกิจการ นักการเมืองแทรกแซงสื่อ
รัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นรัฐธรรมนูญเพียงฉบับเดียวที่ในส่วนของเสรีภาพสื่อมวลชนได้พูดถึงการห้ามแทรกแซงสื่อ โดยมาตรา 45 วรรคสี่ ระบุว่า “การห้ามหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเสนอข่าวสาร หรือแสดงความคิดเห็นทั้งหมดหรือบางส่วนหรือการแทรกแซงด้วยวิธีการใดๆ” ทำไมได้ ยกเว้นตามข้อจำกัดที่รัฐธรรมนูญกำหนด
นอกจากนี้ ยังระบุห้ามนักการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเจ้าของกิจการ แทรกแซงเสรีภาพสื่อ โดยมาตรา 46 วรรคสาม ระบุว่า “การกระทำใดๆ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเจ้าของกิจการ อันเป็นการขัดขวางหรือแทรกแซงการเสนอข่าวหรือแสดงความคิดเห็นในประเด็นสาธารณสุขของบุคคลตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้ถือว่าเป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบและไม่มีผลใช้บังคับ” ยกเว้นทำไปตามกฎหมายหรือจริยธรรมของอาชีพ