
ประเทศไทยได้เข้าร่วมการประชุมสำนักการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโลก (Bureau of WCCJ) ครั้งที่ 21 ณ ที่ประชุมใหญ่ของคณะกรรมการเวนิซแห่งคณะมนตรีแห่งยุโรป (The Venice Commission of the Council of Europe) (กมธ.เวนิซฯ) ที่เมืองเวนิซ สาธารณรัฐอิตาลี เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567 ซึ่งไม่ใช่การเข้าร่วมการประชุมครั้งแรกของประเทศไทย แต่ประเทศไทยเคยเข้าร่วมการประชุมมาตั้งแต่การประชุมครั้งแรกที่กรุงเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ ปี 2552 ซึ่งจัดโดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ และกมธ.เวนิซฯ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญต่อสังคม และการพัฒนานิติศาสตร์เพื่อสิทธิมนุษยชน
กมธ.เวนิซฯ ยังได้เขียน “แนวทางการปฏิบัติว่าด้วยการสั่งห้ามและยุบพรรคการเมืองและวิธีการที่ใกล้เคียง” ที่ระบุถึงหลักปฏิบัติหากจำเป็นที่จะต้องมีการยุบพรรคการเมืองไว้ทั้งหมดเจ็ดข้อโดยระบุชัดเจนว่า การยุบพรรคการเมืองจะกระทำได้ต่อเมื่อพรรคการเมืองสนับสนุนการใช้ความรุนแรงเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ อีกทั้งการยุบพรรคการเมืองที่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญอย่างสันติวิธีจะกระทำมิได้ การใช้อำนาจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไทยยุบพรรคการเมืองถึงสี่พรรคการเมือง โดยมีสองพรรคการเมืองที่ถูกยุบไปภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 จึงเป็นการละเลยแนวทางการปฏิบัติของกมธ.เวนิซฯ
อย่างไรก็ตามประเทศไทยไม่ได้เพียงแต่ละเมิดแนวทางการปฏิบัติขององค์กรที่ได้ไปเข้าร่วมการประชุม แต่ยังละเมิดเป้าหมายขององค์กรความร่วมมือที่ประเทศไทยเป็นประธานเสียเอง เนื่องจากสมาคมศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันเทียบเท่าแห่งเอเชีย (The Association of Asian Constitutional Courts and Equivalent Institutions: AACC) มีเป้าหมายทั้งหมดห้าข้อ โดยมี “ปฏิบัติตามหลักนิติธรรม” และ “สร้างความมั่นคงให้กับการสถาปนาระบอบประชาธิปไตย” เป็นหนึ่งในเป้าหมายดังกล่าว
หลักเจ็ดข้อ: ยุบพรรคการเมืองได้เฉพาะพรรคที่สนับสนุนความรุนแรง
เนื้อหาบนเว็บไซต์ของกมธ.เวนิซฯ หมวดพรรคการเมืองระบุว่า พรรคการเมืองถือเป็นจุดศูนย์กลางของกลไกในระบอบประชาธิปไตย ทำให้การยุบพรรคการเมืองควรที่จะมีหลักการสำคัญสามประการ คือ ต้องเกิดขึ้นในสภาวะพิเศษไม่ใช่สภาวะปกติ ต้องมีความได้สัดส่วนของการลงโทษ และต้องมีการรับประกันว่ากระบวนการจะมีความเป็นธรรมและเปิดกว้าง
ด้วยเหตุนี้ กมธ.เวนิซฯ จึงได้ออก “แนวปฏิบัติว่าด้วยการสั่งห้ามและยุบพรรคการเมืองและวิธีการที่ใกล้เคียง” (Guidelines on Prohibition and Dissolution of Political Parties and Analogous Measures) เมื่อเดือนธันวาคมปี 1999 โดยมีแนวคิดพื้นฐานมาจากอนุสัญญายุโรปว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (The European Convention for the Protection of Human Rights) จนเกิดเป็นหลักการเจ็ดข้อ ดังนี้
- รัฐต้องรับรองว่าประชาชนมีสิทธิที่จะจัดตั้งหรือเข้าร่วมพรรคการเมืองอย่างเสรี สิทธินี้รวมถึงสิทธิที่จะมีแนวคิดทางการเมือง แลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเมืองได้โดยไม่ถูกแทรกแซงจากเจ้าหน้าที่รัฐ
- การจำกัดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานข้างต้นผ่านกลไกควบคุมพรรคการเมืองควรอยู่ภายใต้อนุสัญญายุโรปว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน หรือสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใด
- การยุบพรรคการเมืองสามารถกระทำได้เฉพาะกับพรรคการเมืองที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญ หากพรรคการเมืองรณรงค์ให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญอย่างสันติก็ไม่ถือว่าเป็นเหตุผลที่เพียงพอสำหรับการยื่นยุบพรรค
- พรรคการเมืองไม่ควรต้องรับผิดชอบต่อการกระทำส่วนบุคคลของสมาชิก หากไม่ได้ถูกสั่งการโดยพรรค
- การยุบพรรคการเมืองควรเป็นมาตรการสุดท้าย ก่อนที่จะมีการยื่นขอให้อำนาจตุลาการมีคำสั่งยุบพรรคการเมือง รัฐบาลหรือองค์กรของรัฐอื่นๆ ควรชั่งน้ำหนักว่าการกระทำของพรรคมีความร้ายแรงต่อระบอบประชาธิปไตยหรือสิทธิของประชาชนมากน้อยเพียงใด และควรพิจารณาว่าสามารถใช้มาตรการที่ร้ายแรงน้อยกว่านี้ได้หรือไม่
- การยุบพรรคการเมืองต้องเป็นผลมาจากการค้นพบโดยฝ่ายตุลาการว่า พรรคการเมืองดังกล่าวกระทำผิดตามรัฐธรรมนูญจริง การลงโทษต้องอยู่ภายใต้หลักความได้สัดส่วน และต้องมีพยานหลักฐานที่เพียงพอว่าพรรคการเมืองวางแผนที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ด้วยวิธีการที่ขัดกับรัฐธรรมนูญจริง
- การยุบพรรคต้องถูกสั่งโดยศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอื่นที่เทียบเท่า โดยมีกระบวนการที่รับประกันความโปร่งใสและกระบวนการการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การยุบพรรคการเมืองภายใต้หลักเกณฑ์นี้จะสามารถกระทำได้ในฐานะมาตรการสุดท้าย ภายใต้สถานการณ์พิเศษที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอ กับพรรคการเมืองที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าสนับสนุนการ “ใช้ความรุนแรง” เพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ผ่านกระบวนการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมและเปิดกว้างเท่านั้น
การยุบพรรค เป้าหมายของ AACC ที่ไทยเป็นประธาน
ประเทศไทยเป็นสมาชิกของสมาคมศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันเทียบเท่าแห่งเอเชีย (The Association of Asian Constitutional Courts and Equivalent Institutions: AACC) อีกด้วย ซึ่งในปี 2567 ประเทศไทยยังเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมครั้งที่หก โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-21 กันยายน 2567 ณ กรุงเทพมหานคร อีกด้วย
สมาคมศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันเทียบเท่าแห่งเอเชียก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 2553 เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประชาธิปไตย หลักนิติธรรม และสิทธิพื้นฐานในภูมิภาค มีสมาชิกทั้งสิ้น 21 ประเทศ โดยประเทศไทยได้ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมระหว่างปี 2566 ถึงปี 2568 ส่งผลให้ประเทศไทยกำลังจะได้เป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมครั้งที่หก ระหว่างวันที่ 17-21 กันยายน 2567 ณ โรงแรม The Athenee Hotel กรุงเทพมหานคร
ปัจจุบันสมาคมศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันเทียบเท่าแห่งเอเชียมีเป้าหมายแสดงอยู่บนเว็บไซต์ทั้งหมดห้าข้อ คือ
- สร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูลระหว่างประเทศสมาชิก
- สนับสนุนความเป็นอิสระของศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันอื่นที่เทียบเท่า
- ปฏิบัติตามหลักนิติธรรม
- สร้างความมั่นคงให้กับการสถาปนาระบอบประชาธิปไตย
- พัฒนาการปกป้องสิทธิมนุษยชน
เนื่องจากพรรคการเมืองเป็นสถาบันสำคัญในระบอบประชาธิปไตย รัฐควรส่งเสริมสนับสนุนให้สถาบันพรรคการเมืองเติบโตและทำหน้าที่สะท้อนเจตนารมณ์ที่ประชาชนอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ผ่านกลไกตามรัฐธรรมนูญ เมื่อการสั่งยุบพรรคการเมืองเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าโดยศาลรัฐธรรมนูญของไทย จึงขัดแย้งต่อเป้าหมายในการสร้างความมั่นคงให้กับการสถาปนาระบอบประชาธิปไตย ของสมาคมศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันเทียบเท่าแห่งเอเชีย
RELATED POSTS
No related posts