สว. 67 : ใครๆ ก็สมัคร “กลุ่มผู้ประกอบการอื่นฯ” ได้ เมื่อกกต. เอาหูไปนาเอาตาไปไร่

10 กรกฎาคม 2567 แสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงข่าวประกาศรับรองผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดใหม่ 200 คน และรายชื่อสำรอง หลังจากการเลือก สว. ในวันที่ 26 มิถุนายน 2567 เสร็จสิ้นลงในช่วงเช้ามืดของวันที่ 27 มิถุนายน ซึ่งก่อนหน้านี้ กกต. ได้วางไทม์ไลน์ในการประกาศผลรับรองการเลือก สว. ไว้เป็นวันที่ 2 กรกฎาคม แต่ต้องเลื่อนออกมาเป็นระยะเวลา 8 วัน เนื่องจากมีเหตุผลว่า มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือก สว. มากถึง 614 เรื่อง 

แสวง บุญมี กล่าวว่า เนื่องจากกระบวนการเลือก สว. เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรมจึงประกาศรับรองผล สว.ในวันนี้และเขายังได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ “การตรวจสอบผู้ได้รับเลือกที่อาจขาดคุณสมบัติหรือสมัครไม่ตรงกลุ่ม” ว่า กกต. ได้ระบุเงื่อนไขความผิดที่ทำให้การเลือก สว. ไม่สุจริตเที่ยงธรรม 3 ความผิด คือ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม กระบวนการเลือกในทุกระดับ และความไม่สุจริตเที่ยงธรรมในการเลือก เช่น การฮั้วและบล็อกโหวต เป็นต้น

ส่วนเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัคร สว. นั้น ตามที่สังคมตั้งคำถามว่าผู้สมัครมีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่ แสวงระบุว่า อยากให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ ไม่มีคำว่า ‘กลุ่มอาชีพ’ โดยอ้างนิยามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 107 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา (พ.ร.ป.สว.ฯ) มาตรา 11  นิยามของกลุ่ม คือ กลุ่มของด้านนั้นๆ ซึ่งในแต่ละด้านจะมีคน 6 ประเภทที่สามารถเป็นผู้สมัครได้ ไม่ใช่เรื่องอาชีพเพียงอย่างเดียว ซึ่งผู้สมัครในกลุ่มนั้นๆ จะมีลักษณะ 6 ประเภทตามกฎหมายที่สามารถสมัครได้คือ 1. มีความรู้ 2. มีความเชี่ยวชาญ 3. มีประสบการณ์ 4. มีอาชีพ 5. มีลักษณะหรือผลประโยชน์ร่วม หรือ 6. เคยทำงานในด้านนั้น 

Untitled Artwork

ส่องสว. กลุ่ม 10 มีทั้งผู้ประกอบกิจการขนาดยักษ์ไปจนถึงธุรกิจขายเกี๋ยวเตี๋ยวไก่มะระ

เมื่อทราบผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) อย่างเป็นทางการกันเรียบร้อยแล้ว ในส่วนของกลุ่มที่ 10 เห็นได้ว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่รู้จักกันในสังคมมาก่อน ทำให้การตรวจสอบประวัติหรือที่มาของพวกเขาต้องพิจารณาจากเอกสารสว.3 ที่ผู้สมัครแต่ละคนเขียนแนะนำประวัติของตัวเองไว้ไม่เกินคนละห้าบรรทัด 

โดยสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือกจากกลุ่มที่ 10 ผู้ประกอบกิจการอื่นนอกจากกิจการตามมาตรา 11 (9) มีดังนี้

  1. โสภณ มะโนมะยา จากจังหวัดสงขลา ระบุในเอกสารแนะนำตัว (สว.3) ว่า “1. เป็นผู้ริเริมในการนำเข้ายารักษาโรคมะเร็ง(GENERIC ANTI CANCER) จากประเทศอินเตีย เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน คุณภาพดี แต่มีราคาถูกกว่ายาที่นำเข้าจากยุโรปและอเมริกาทำให้ผู้ป่วยมะเร็งได้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาทุกราย 2.เป็นผู้จัดหายาต้านไรรัส HIV ยาป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดและยาบำบัดโรคมะเร็งซึ่งรัฐบาลไทยประกาศสิทธิเหนือสิทธิบัตร(CL)เมื่อปี2549 ทำให้ยาดังกล่าวมีราคาลดลงจนกระทั่งปัจจุบันสามารถเบิกจ่ายได้ฟรี” 
  2. รุจิภาส มีกุศล จากจังหวัดสุรินทร์ ระบุในเอกสารแนะนำตัว (สว.3) ว่า “เป็นลูกหลานคนสุรินทร์ โดยกำเนิด จบการศึกษาวิทยาลัยเทคนิคสุรินทร์ ปี 2534 เข้าทำงานกับโรงไฟฟ้าชีวมวลของเอกชนรายแรกแรกของเมืองไทย ประมาณ 12 ปี ต่อมาย้ายมาทำงานโรงไฟฟ้าชีวมวลจังหวัดร้อยเอ็ด 5 ปีปัจจุบันทำงานโรงไฟฟ้าชีวมวลที่บ้านเกิดจังหวัดสุรินทร์ 17 ปี ตำแหน่งผู้จัดการ ประสบการณ์โรงไฟฟ้าชีวมวล 30 ปี มีความเชี่ยวชาญด้านโรงไฟฟ้า ชีวมวลและพลังงานทดแทนและเป็นที่ปรึกษา กต.ตร.ส.ภ.เมืองที”
  1. พันตำรวจโท สง่า ส่งมหาชัย จากจังหวัดลำปาง ระบุในเอกสารแนะนำตัว (สว.3) ว่า “ปี พ.ศ. 2550 เริ่มควบคุมการสร้างบ้านโครงการเขลางค์ซีตี้โฮม ตั้งอยู่ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง ปี พ.ศ. 2552 เริ่มควบคุมดำเนินการก่อสร้างบ้านอลิน 2 ตำบลชมพู อำเภอเมืองลำปาง ปี พ.ศ. 2557 ดำเนินการควบคุมการก่อสร้างโครงการบ้านอลิน 1 ตั้งอยู่ตำบลต้นธงชัย อำเภอเมืองจังหวัดลำปาง รวม 3 โครงการ”
  1. แดง กองมา จากจังหวัดอำนาจเจริญ ระบุในเอกสารแนะนำตัว (สว.3) ว่า “เริ่มขายหมูตั้งแต่ปี 2541 เป็นคนหนึ่งที่ร่วมพัฒนาตลาดสดเอกชนวิชิตสิน จนได้รับรางวัลระดับ 5 ดาว เมื่อก่อนขายหมูราคาถูกมาก หมูสามชั้น กก. ละ 45 บาท ทุกวันนี้ราคาหมูสามชั้น กก. ละ 150-180 บาท ต้นทุนสูงกำไรน้อยต่างจากเมื่อก่อน ได้กำไร กก. ละ 10 บาท เท่ากัน”
  1. สมพาน พละศักดิ์ จากจังหวัดอำนาจเจริญ ระบุในเอกสารแนะนำตัว (สว.3) ว่า “ประวัติการทำงานของข้าพเจ้า มีอาชีพประกอบการค้าขายก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ อยู่ในเขตเทศบาลเมืองอำนาจเจริญมาระยะเวลา 12 ปี”
  1. สุนทร เชาว์กิจค้า จากจังหวัดกระบี่ ระบุในเอกสารแนะนำตัว (สว.3) ว่า “ประกอบอาชีพธุรกิจโรงแรม ตั้งแต่ปี 2540 อดีต กตตร. จังหวัดกระบี่ อดีตประธานชมรมธุรกิจท่องเที่ยวเกาะลันตา ประธานกรรมการสถานศึกษา โรงเรียนวิเชียรมาตุ รองประธานมูลนิธิกุศลสถานตรัง”
  1. นิคม มากรุ่งแจ้ง จากจังหวัดสมุทรสาคร ระบุในเอกสารแนะนำตัว (สว.3) ว่า “สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ, ผู้พิพากษาสมทบ ศาลแรงงานกลางรุ่นที่ 21, ผู้พิพากษาสมทบ ศาลเยาวชนและครอบครัว จ.สมุทรสาคร รุ่นที่ 2 และ 3,ผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำ จ.สมุทรสาคร ประธานคณะอนุกรรมาธิการ ด้านประกันสังคม สภาปฏิรูปแห่งชาติ รองประธานคณะกรรมาธิการการปฏิรูปแรงงาน คณะกรรมการอุทธรณ์สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย 8 ปี รองประธานคณะกรรมการส่งเสริมกิจการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มีความเชี่ยวชาญในการกำหนดราคาสินค้าปลาน้ำจืดทุกชนิด และยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยและการเปลี่ยนแปลง คณะกรรมาธิการปฏิรูปการปกครองท้องถิ่น” 
  1. สหพันธ์ รุ่งโรจนพณิชย์ จากจังหวัดกาญจนบุรี ระบุในเอกสารแนะนำตัว (สว.3) ว่า “มีความชำนาญด้านรถยนต์มากกว่า 20 ปี และทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์และที่ดินมาจำนวน 8 ปี, ดำรงตำแหน่งประธานนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้ากาญจนบุรี 8 ปี รองประธานหอการค้ากาญจนบุรี 8 ปี และเลขาหอการค้า 4 ปี เป็นผู้พัฒนาสินค้า O-TOP และยกระดับสู่ตลาดพรีเมียม โมเดรินเทรด การทำงานภาครัฐ เป็นกรรมการและคณะทำงานของภาครัฐและภาคการศึกษาของจังหวัดกาญจนบุรี”
  1. นิทัศน์ อารีย์วงศ์สกุล จากจังหวัดอ่างทอง ระบุในเอกสารแนะนำตัว (สว.3) ว่า “ทำงานเป็นพนักงานบริษัท “มินิแบไทย” จำกัด 15 ปี (2540-2555) ทำงานเป็นผู้จัดการสโมสรฟุตบอล “อ่างทอง เอฟซี” 12 ปี (2555 – ปีปัจจุบัน) ผ่านการอบรมการบริหารจัดการสโมสรฟุตบอล, Club Licensing ของ AFC, FIFA, FAT ทำงานร่วมกับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และสโมสรฟุตบอลอาชีพในไทยลีก 1, 2, 3, TS, TA จัดการแข่งขันฟุตบอลอาชีพของบริษัท ไทยลีก จำกัด”
  1. มังกร ศรีเจริญกูล จากจังหวัดน่าน ระบุในเอกสารแนะนำตัว (สว.3) ว่า “ก่อสร้างบ้านพักผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน, ปรับปรุงอาคารสนามบินและลานจอดเครื่องบิน สนามบินแม่ฮ่องสอน ออกแบบศาลาการเปรียญวัดอรัญญาวาส น่าน, ผลิตจำหน่ายบ่อพักชีเมนต์สำเร็จรูป, เป็นสมาชิกสโมสรโรตารี น่าน, เป็นสมาชิกสภาอุตสาหกรรม จ.น่าน,เป็นผู้ประนีประนอมและผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมประจำศาลจังหวัดน่าน เป็นรองประธานชุมชนบ้านตอนศรีเสริม,เป็นกรรมการศาลเจ้าปีงเถ่ากง น่าน, เป็นกรรมการโรงเรียนบ้านดอนศรีเสริม, เป็น อสม.บ้านดอนศรีเสริม, เป็นกรรมการชมรมพ่อค้าน่าน-โรงเรียนชินจง จังหวัดน่าน”

ชื่อระบุชัด กลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่น ต้องเป็นกิจการที่ใหญ่กว่า SMEs

การแบ่งกลุ่มอาชีพตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา (พ.ร.ป.สว.ฯ) แบ่งดังนี้
(9) กลุ่มผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อมตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น หรืออื่นๆในทํานองเดียวกัน
(10) กลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่นนอกจากกิจการตาม (9) 

ผู้ประกอบการ (Entrepreneur) ตามพจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายว่า บุคคลซึ่งขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะได้รับประโยชน์ หรือได้รับค่าตอบแทนหรือไม่ และไม่ว่าจะได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วหรือไม่ 

ความสำคัญคือผู้ประกอบกิจการเป็นผู้ที่ไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับ “ค่าตอบแทน” ซึ่งต่างจาก “ลูกจ้าง” ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ที่หมายถึงผู้รับจ้างทำการงานโดยได้รับค่าตอบแทน

และคุณสมบัติอีกประการหนึ่งของกลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่นนอกจากกิจการตาม (9) คือในกลุ่มที่ 9 หรือกลุ่ม SMEs เป็นกิจการค้าขายหรือให้บริการขนาดไม่ใหญ่มาก ซึ่งมีคำนิยามอยู่ตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ.2562 โดยกฎกระทรวงกำหนดว่า วิสาหกิจขนาดย่อม ได้แก่ กิจการผลิตสินค้าที่มีจำนวนการจ้างงานไม่เกิน 50 คน หรือมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 100 ล้านบาท กิจการให้บริการ ค้าส่ง ค้าปลีก ที่มีจำนวนการจ้างงานไม่เกิน 30 คน  หรือมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 50 ล้านบาท วิสาหกิจขนาดกลาง ได้แก่ กิจการผลิตสินค้าที่มีจำนวนการจ้างงาน 50-200 คน หรือมีรายได้ต่อปี 100-500 ล้านบาท กิจการให้บริการ ค้าส่ง ค้าปลีก ที่มีจำนวนการจ้างงาน 30-100 คน  หรือมีรายได้ต่อปี 50-300 ล้านบาท สำหรับกิจการที่ไม่มีลูกจ้างเลยมีเจ้าของทำงานของตัวเองก็ยังอยู่ในขอบข่ายจำนวนการจ้างงาน “ไม่เกิน” 50 คน และถือเป็น SMEs

ดังนั้น ผู้ที่จะสมัครในกลุ่มที่ 10 จึงต้องเป็น “ผู้ประกอบกิจการอื่น” ที่ “ใหญ่” กว่า SMEs อันได้แก่ กิจการผลิตสินค้าที่มีจำนวนการจ้างงานเกิน 200 คน หรือมีรายได้ต่อปีเกิน 500 ล้านบาท กิจการให้บริการ ค้าส่ง ค้าปลีก ที่มีจำนวนการจ้างงานเกิน 100 คน หรือมีรายได้ต่อปีเกิน 300 ล้านบาท 

ประกอบกับคุณสมบัติสำคัญของกลุ่มที่ 10 คือ ต้องเป็นบุคคลซึ่งไม่ใช่ “ลูกจ้าง” ซึ่งอาจหมายถึงเจ้าของธุรกิจ หรือบริษัท ที่ขายสินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือ การบริการ โดยถือสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของแบรนด์ ไม่ว่าจะจดทะเบียนหรือไม่ก็ตาม โดยเป็นกิจการที่มีจำนวนลูกจากและมีรายได้มากกว่า SMEs 

สว. ชุดใหม่อย่างน้อย 5 คน ไม่ชัดว่ามีคุณสมบัติในกลุ่ม 10 ได้อย่างไร

เมื่อพิจารณาคุณสมบัติสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่จากกลุ่มที่ 10 เท่าที่ปรากฏข้อมูลในเอกสาร สว.3 ซึ่งผู้สมัครเขียนขึ้นเองนั้น พบว่าจากข้อมูลเท่าที่มี สมาชิกวุฒิสภาไม่ได้เขียนแนะนำตัวเองว่าประกอบอาชีพใดที่เข้าข่ายตามคุณสมบัติจะสมัครในกลุ่มนี้ได้ โดยแบ่งออกเป็น 2 กรณี  ดังนี้

  1. ประกอบกิจการที่โดยปกติแล้วไม่อาจคาดหมายได้ว่า จะมีการจ้างงานมากขนาดเกิน 200 คน และไม่ได้มีรายได้ต่อปีเกิน 300 ล้านบาท 2 คน ได้แก่ 
  • สมพาน พละศักดิ์ ที่ประกอบกิจการขายก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ 
  • แดง กองมา ที่ประกอบกิจการขายการขายหมูในตลาด 
กลุ่ม 10 ประกอบกิจการอื่น
  1. ไม่ใช่ผู้ประกอบการแต่เป็นลูกจ้าง ได้แก่ 
  • รุจิภาส มีกุศล ที่ประกอบอาชีพอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่จังหวัดสุรินทร์ 
  • นิคม มากรุ่งแจ้ง ที่เคยแนะนำเฉพาะกิจกรรมที่เป็นงานเสริม ไม่มีกิจการค้าขายหรือให้บริการขนาดใหญ่
  • นิทัศน์ อารีย์วงศ์สกุล ที่ทำงานเป็นผู้จัดการสโมสรฟุตบอล และเคยเป็นพนักงานบริษัทมาก่อน

นอกจากนี้ยังมีผู้สมัครคนอื่นๆ ที่เข้ารอบระดับประเทศแต่ไม่ได้กำกิจการใหญ่ไปกว่า SMEs อาทิเช่น

  • จิตประสงค์ เหมืองทอง ผู้สมัครหมายเลข 9 ทำกิจกรรมโรงงาน ปัจจุบันมีคนงาน 25 คน
  • เตือนใจ น้อมเคารพ ผู้สมัครหมายเลข 26 ประกอบอาชีพช่างตัดผม
  • ทัศนัย ศรีสุวรรณ์ ผู้สมัครหมายเลข 31 ประกอบอาชีพขายอาหารตามสั่งและรับทำข้าวกล่อง
  • นาฎฤดี วังคะฮาต ผู้สมัครหมายเลข 38 เป็นสมาชิกกลุ่มเสื้อเย็บมือ
  • บุญเชิด อิ่มอำไพ ผู้สมัครหมายเลข 42 ประกอบอาชีพค้าขายเบ็ดเตล็ด
  • ประสิทธิ์ รุ่งรัตน์ธวัชชัย ผู้สมัครหมายเลข 49 ประกอบอาชีพช่างกระจกอลูมิเนียม
  • รพีพร กลิ่นตลก ผู้สมัครหมายเลข 76 ประกอบอาชีพค้าขาย
  • รัษยา หอมสมบัติ ผู้สมัครหมายเลข 78 ประกอบอาชีพค้าขายเบ็ดเตล็ด
  • วรเดช วังจำนงค์ ผู้สมัครหมายเลข 82 ประกอบอาชีพค้าขายอิสระ
  • วาสนา ฮิลล์ ผู้สมัครหมายเลข 86 ประกอบอาชีพช่างเสริมสวย
  • สุรียา หอทับทิม ผู้สมัครหมายเลข 118 ประกอบอาชีพรับจ้างแต่งหน้า ทำเล็บ ทำผมเปิดร้านขายของชำ 

นอกจากผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสว. ของกลุ่ม 10 แล้ว ยังมีผู้สมัครที่เข้าสู่ระดับประเทศที่เขียนเอกสารสว.3 โดยไม่ระบุถึงการประกอบกิจการขนาดใหญ่ หรือการมีความรู้ความเชี่ยวชาญใดๆ เลย อาทิเช่น 

  • กานนท์ แสนเภา ผู้สมัครหมายเลข 3 อดีตข้าราชการครู
  • ชัยยันต์ พรหมดี ผู้สมัครหมายเลข 17 ระบุใน สว. 3 ว่า “กระผมนายชัยยันต์ พรหมดี มีประสบการณ์การทำงานด้านวิชาชีพนี้มากกว่า 10 ปี จึงมีความสามารถเป็นตัวแทนชาวบ้านได้
  • บุญเลี้ยง บุตรดา ผู้สมัครหมายเลข 43 ระบุใน สว. 3 ว่า “เนื่องจากกระผมได้ประกอบอาชีพหลายอย่างมาหลายปีมีความรู้ความสามารถหลายรูปแบบจึงคิดว่าจะเป็นตัวแทนของชาวบ้านได้”
  • วินิจ เกษรา ผู้สมัครหมายเลข 88 อดีตข้าราชการครู

แสวงเผยตรวจสอบคุณสมบัติทุกคนแล้ว “สังคมอาจจะเข้าใจยังไม่ตรงมาก”

แม้ว่าการพิจารณาจากชื่อกลุ่มจะทำให้ประชาชนเข้าใจว่ากลุ่มที่ 10 คือ กลุ่มของผู้ประกอบกิจการอื่นนอกเหนือไปจาก SMEs แต่แสวง บุญมี ก็ได้กล่าวในการแถลงข่าวว่า ได้ตรวจสอบคุณสมบัติทุกคนแล้ว กกต. จึงได้ประกาศรับรอง ในส่วนของเรื่องคุณสมบัติที่เป็นประเด็นในสังคมอยู่มากนั้นเป็นเรื่องของสำนักงานกับผู้อำนวยการเลือกระดับอำเภอ แสวงกล่าวว่าได้ให้มีการซักซ้อมข้อกฎหมายกันตั้งแต่ต้นว่าสังคมอาจจะเข้าใจยังไม่ตรงมาก 

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

บทความยอดนิยม

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage