6 บทเรียนจากเปิดรับสมัครวันแรกที่ผู้สมัคร สว. ต้องระวัง

1. สมัครวันสุดท้าย คนอาจเยอะ-ใช้เวลานาน

ในการยื่นใบสมัคร สว. ผู้สมัครจะต้องนำเอกสารทั้งหมดไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบว่าครบถ้วนหรือไม่ แม้ว่าจะเจ้าหน้าที่รับสมัครไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 (พ.ร.ป. สว.) เช่น การตรวจสอบว่าผู้สมัครยังคงเป็นสมาชิกพรรคการเมืองในวันที่สมัครหรือไม่ หรือตรวจสอบว่าผู้สมัครเป็นถูกจำกัดสิทธิในการสมัครรับเลือกเป็น สว. จากเหตุที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือไม่ แต่นอกจากการตรวจสอบเอกสารต่างๆ ยังมีขั้นตอนในการสแกนเอกสารเพื่อบันทึกเข้าระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ด้วย จึงอาจจะทำให้การดำเนินการรับสมัครต่อผู้สมัครหนึ่งคนอาจจะใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมง ในขณะที่ระยะเวลาในการรับสมัครภายในหนึ่งวันมีเพียงแปดชั่วโมง และในบางพื้นที่มีจุดตั้งโต๊ะรับสมัครเพียงสามถึงสี่โต๊ะเท่านั้น 

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้กำหนดระยะเวลาในการรับสมัคร สว. ไว้ระหว่างวันที่ 20 – 24 พฤษภาคม 2567 รวมทั้งสิ้นห้าวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. ด้วยระยะเวลารับสมัครอันสั้นและการดำเนินการของเจ้าหน้าที่อาจใช้เวลานานต่อผู้สมัครหนึ่งคนอาจทำให้ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 (วันสุดท้ายที่มีการรับสมัคร) หากมีผู้สมัครไปยื่นใบสมัครเป็นจำนวนมาก อาจทำให้ระยะเวลาในการดำเนินการของกระบวนการรับสมัครล่าช้าได้

ผู้สมัครคนใดที่พร้อมยื่นใบสมัครจึงควรไปยื่นให้เร็วโดยไม่รอจนถึงวันรับสมัครวันสุดท้ายเพื่อป้องกันปัญหาผู้สมัครจำนวนมากที่ทำให้กระบวนการแออัด

2. เจ้าหน้าที่ยังไม่แม่น-ปฏิเสธไม่ให้รับใบสมัคร

ภายหลังจากที่มีผู้สมัครรายงานความไม่แน่นอนของเจ้าหน้าที่ในการรับใบสมัคร พบว่า ในหลายกรณีเจ้าหน้าที่เรียกขอเอกสารที่อยู่นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ เช่น สูติบัตร และวุฒิการศึกษา ซึ่งหากผู้สมัครไม่ได้สมัครในอำเภอหรือเขตที่เกิด หรือสมัครในอำเภอที่เคยศึกษาไม่น้อยกว่าสองปีการศึกษา ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นสูติบัตร หรือวุฒิการศึกษา เป็นเอกสารหลักฐานประกอบการสมัคร โดยในบางกรณีผู้สมัครโดนปฏิเสธการรับสมัครและให้กลับไปนำสูติบัตรมายื่นเพิ่มเติมในการสมัคร

ในขณะเดียวกันก็พบว่าเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการรับสมัคร-รับใบสมัครในหลายพื้นที่ปฏิเสธไม่แจกใบสมัครให้ผู้สมัครในวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 โดยเข้าใจผิดว่าว่าพ้นกำหนดรับใบสมัครแล้ว แต่ในข้อเท็จจริง การดำเนินการรับใบสมัครจากเจ้าหน้าที่ยังสามารถดำเนินการได้จนถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 เมื่อมีการดำเนินการทักท้วงจึงทำให้ยังสามารถรับใบสมัครได้ตามระยะเวลาที่ กกต. กำหนดไว้

นอกจากนี้ในการยื่นรูปถ่ายขนาด 8.5×13.5 เซนติเมตร ที่มีข้อกำหนดเพียงว่า (1) ไม่ใส่แว่นดำ และ (2) ไม่สวมหมวก แต่ในบางกรณีพบว่าผู้สมัครถูกปฏิเสธไม่ให้ใช้รูปถ่ายที่นำมาเนื่องจากให้เหตุผลว่า “ไม่สุภาพ” ซึ่งเป็นการใช้ดุลพินิจเกินกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมาย

ดังนั้นผู้สมัครจึงต้องรักษาสิทธิของตนเองและพร้อมที่จะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ในกรณีที่มีการใช้ดุลพินิจเกินไปจากที่กฎหมายกำหนดเอาไว้

3. ระบบบันทึกข้อมูลของเจ้าหน้าที่แต่ละกลุ่มมีไม่ครบทุกอาชีพ

ในการยื่นใบสมัคร เจ้าหน้าที่จะให้ผู้สมัครเลือกอาชีพต่าง ๆ ที่อยู่ในขอบเขตของกลุ่มนั้น ๆ ซึ่งในบางกลุ่มมีอาชีพที่ไม่ครบทุกอาชีพจึงอาจชวนให้ผู้สมัครสับสนว่าจะต้องเลือกอาชีพอะไรในกลุ่มนั้น ๆ เช่น ในบางกรณีผู้สมัครมีอาชีพเป็น “กราฟิกดีไซน์เนอร์” อาจจะต้องไปเลือกอาชีพ “ช่างศิลป์” แทน

ผู้สมัครจึงต้องพิจารณาเลือกอาชีพของตนเองได้ถี่ถ้วน อย่างไรก็ดี ตราบใดที่ไม่เป็นการเปลี่ยนกลุ่มอาชีพจากทั้งหมด 20 กลุ่มทางกฎหมาย การเลือกอาชีพตามกระบวนการรับสมัครที่อยู่ในขอบเขตในกลุ่มอาชีพนั้น ๆ ก็จะไม่เป็นปัญหา

4. จ่ายค่าสมัคร 2,500 ต้องเป็นเงินสด โอนไม่ได้

ในการยื่นใบสมัคร หนึ่งสิ่งที่ต้องเตรียมไปในวันสมัครคือ เงินค่าธรรมเนียมการสมัคร จำนวน 2,500 บาท ซึ่งผู้สมัครอาจชำระเป็นเงินสดก็ได้ หรือแคชเชียร์เช็คก็ได้ แต่ไม่สามารถชำระเงินผ่านการโอนเงินได้ ผู้สมัครจึงต้องเตรียมเงินสดไปให้พร้อม 2,500 บาทเพื่อป้องกันปัญหา

5. เจ้าหน้าที่หละหลวม เปิดช่องตัวเลขผู้สมัครรั่วไหล

หลายกรณีพบว่ามีสื่อมวลชนเข้าไปทำข่าวในพื้นที่การรับสมัคร มีการอนุญาตให้บุคคลผู้เป็นผู้ติดตามของผู้สมัครเข้าไปอยู่ในสถานที่รับสมัครที่มีการจัดเตรียมไว้ให้เป็นการเฉพาะ รวมถึงเปิดให้มีการลงทะเบียนในสถานที่รับสมัครว่ามีผู้สมัครมายื่นใบสมัครแล้ว ซึ่งรายชื่อดังกล่าวถูกเปิดสาธารณะโดยให้คนที่อยู่ในบริเวณสามารถมาตรวจสอบได้ 

พ.ร.ป. สว. มาตรา 18 ห้ามไม่ให้คณะกรรมการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่เปิดเผยรายชื่อผู้สมัครและจำนวนผู้สมัครในแต่ละกลุ่มจนกว่าจะพ้นระยะเวลารับสมัคร เพราะอาจเป็นข้อมูลที่ช่วยให้มีการ “ฮั้ว” กันได้ การเปิดให้สื่อมวลชนหรือบุคคลภายนอกเข้าไปจึงอาจทำให้ข้อมูลจำนวนผู้สมัครรั่วไหลได้

6. ตรวจสอบสถานที่รับสมัครให้ดี อาจะไม่ใช่ที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานเขต

ในหลายกรณีพบว่า สถานที่รับสมัครไม่ใช่สถานที่เดียวกับกับสถานที่ที่รับใบสมัคร โดยทางเขตหรืออำเภออาจใช้สถานที่อื่นเพื่อให้มีความสะดวกแก่ผู้สมัครในการไปสมัครได้ แต่ก็พบปัญหาว่าในผู้สมัครทั่วไปอาจไม่ทราบล่วงหน้าว่าสถานที่รับสมัครดังกล่าวเป็นที่ใดและเดินทางไปผิดสถานที่

ผู้สมัครจึงอาจต้องติดต่อสอบถามทางสำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอก่อนล่วงหน้าว่าจะดำเนินการรับสมัครในสถานที่ใด เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัยในกรณีที่สถานที่รับสมัครอยู่ไกลจากสำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

บทความยอดนิยม

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage