เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล
ศูนย์กฎหมายสิทธิชุมชน
ที่มาภาพ Johan Fantenberg
เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2562 มีการเผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ [1] ผู้บัญชาการทหารบก ที่แสดงความไม่พอใจที่นักศึกษา นักวิชาการสื่อมวลชน ได้วิพากษ์วิจารณ์ปัญหาระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทยในปัจจุบัน โดยกล่าวว่า “เราอยู่กันแบบไทย ๆ นี่คือวัฒนธรรมของระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ขอให้รักกันจะไปร่ำไปเรียนที่ไหนมา…เอาของเขามาแล้วมาดูด้วยว่าควรจะมาดัดแปลง แต่ไม่ใช่พยายามจะเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข อย่าไปเอาความซ้ายจัดที่ไปเรียนมาแล้วมาดัดจริต… นี่คือเมืองสยาม เมืองแห่งรอยยิ้ม เมืองที่เรามีระบอบประชาธิปไตยของเราแบบนี้ …สิ่งที่ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ต้องการคือมีคนไทยรักกัน หันหน้าเข้าหากัน”
ผู้เขียนเห็นว่า วาทะกรรม “ความเป็นไทย” ถูกฝ่ายรัฐนำมาใช้บ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องการสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเอง หรือต้องการโจมตีฝ่ายตรงข้ามกับตน มีงานศึกษาที่พูดถึง กำเนิด ความหมายและพลวัติของ “ความเป็นคนไทย” ของนักวิชาการมีชื่อเสียงหลายท่าน ที่ได้ศึกษาและตีความวาทะกรรม “ความเป็นไทย” ไว้อย่างครอบคลุมและน่าสนใจ ทำให้เรา โดยเฉพาะคนที่ฝักใฝ่การเมืองการปกครองในระบบประชาธิปไตย สามารถทำความเข้าในสถานการณ์ในปัจจุบันได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ทั้งนี้เพื่อให้การรวบรวมความคิดและข้อเสนอในที่นี้มีความน่าเชื่อถือ ผู้เขียนจึงได้จัดทำออกมาในรูปแบบกึ่งวิชาการ เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถกลับไปค้นหารายละเอียดเพื่อศึกษาเชิงลึกต่อไปได้ …..
“ความเป็นไทย” มีลักษณะเป็นวาทะกรรมและมโนทัศน์หลวมๆ ที่ลื่นไหลและเปลี่ยนแปลงไปมาจนไม่สามารถนิยามให้ชัดเจนได้ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาและตอกย้ำอย่างเป็นระบบ จนทำให้สังคมไทยเชื่อว่า เป็นลักษณะจริงของสังคมไทย[2] ทั้งไม่ได้เกิดจากการรวบรวมเอามาจากลักษณะที่หลากหลายของประชาชน แต่เกิดจากการสร้างขึ้นโดยรัฐเองว่า “คนไทย” จะต้องเป็นอย่างไร[3] รวมทั้ง “ความเป็นไทย” ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบปัญหาทางการเมืองที่ชนชั้นนำในแต่ละยุคสมัยต้องเผชิญ โดยมุ่งให้ “ความเป็นไทย” ช่วยจรรโลงโครงสร้างสังคมและการเมืองที่ชนชั้นนำต้องการ พร้อมทั้งได้ผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่องจนคนเชื่อว่าเป็นความจริง[4]
ดังนั้น การทำความเข้าใจกับความหมายของ “ความเป็นไทย” (เพื่อพิจารณาลักษณะการใช้อำนาจที่มีการเลือกปฏิบัติต่อคนที่ไม่ใช่คนไทย) ต้องพิจารณาจากที่มาทางความคิดและบริบทแวดล้อมที่ทำให้เกิดแนวความคิดแบบนั้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก “ความเป็นไทย” ไม่สามารถนิยามความหมายแบบตายตัวได้ แต่เพื่อเป็นกรอบคิดในการวิเคราะห์ในงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยจึงสรุปภาพรวมของมโนทัศน์ให้พอเข้าใจ ดังนี้
การกำหนดนิยามความเป็นคนไทยนั้น ในทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันไปตามบริบทการเมืองในแต่ละยุคสมัย โดยก่อนยุคสมัยการสร้างรัฐชาติ (รัชกาลที่ 5) ความเป็น “คนไทย” ไม่ถูกให้ความสำคัญมากนัก ในทางตรงกันข้ามผู้ปกครองกลับมีค่านิยมว่าการมีราษฎรที่หลากหลายชาติพันธุ์มาอยู่อาศัยถือเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากเป็นการแสดงว่ากษัตริย์ของรัฐนั้นมีบารมี จึงมีหลายกลุ่มชาติพันธุ์มาขอพึ่ง เมื่อถึงยุคการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 สถานการณ์ทางการเมืองทำให้สยามต้องเร่งรวมชาติ ซึ่งการนิยามความเป็นคนไทยก็ไม่ได้มีความซับซ้อน โดยผู้ปกครองถือว่าทุกคนในผืนแผ่นดินสยามเป็นคนในบังคับสยาม ตราบใดที่ยอมรับในอำนาจปกครองของกษัตริย์สยามและพูดภาษาไทย ซึ่งการนิยามความเป็นคนไทยในช่วงนี้ ตั้งอยู่บนเงื่อนไขการรวมชาติให้เป็นปึกแผ่น ส่วนหนึ่งคือเพื่อต่อต้านการบีบบังคับทางการเมืองจากประเทศเจ้าอาณานิคมตะวันตก ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 การเมืองของสยามได้รับผลกระทบจากการแพร่กระจายของแนวคิดทางการเมืองโลก ที่หลั่งไหลเข้าในมาภูมิภาครวมทั้งสยามด้วย อันเป็นการคุกคามต่อสถานะและอำนาจของกษัตริย์ ที่สำคัญการปฏิวัติของจากระบอบกษัตริย์ไปสู่ระบอบสาธารณะรัฐในประเทศจีน และแนวคิดประชาธิปไตยแบบตะวันตก ทำให้รัชกาลที่ 6 ต้องใช้นโยบายชาตินิยมที่มีเป้าหมายเพื่อ “ระดมความจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์” โดยถือว่า คนไทยคือคนที่มีความจงรักภักดีต่อพระมาหากษัตริย์ โดยไม่กีดกันทางชาติพันธุ์
จากที่กล่าวมานี้จุดเน้นของ “ความเป็นไทย” ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช คือ ลักษณะของคนที่มีจิตใจที่จงรักภักดีต่อกษัตริย์ นับถือศาสนาพุทธ และมีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับวัฒนธรรมไทย โดย พูดภาษาไทย มีกิริยามารยาทแบบไทย มีคุณธรรม และมีความศิวิไลซ์ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ต้องรักษาวัฒนธรรม (แบบเดิม) ส่วนใหญ่เอาไว้ แล้วรับเอาความเจริญทางวัตถุแบบตะวันตกมาประยุกต์ เพื่อมิให้ความเป็นไทยถูกมองว่าป่าเถื่อน ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่จรรโลงโครงสร้างสังคมที่รวมศูนย์อำนาจและแบ่งคนออกเป็นลำดับชั้น[5]
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เกิดสถานการณ์ทางการเมืองทั้งระดับภายในประเทศไทยและระดับระดับโลก รวมทั้งการเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ ทำให้มีการปรับเปลี่ยนและช่วงชิงนิยามความหมายของ “ความเป็นไทย” กล่าวคือ ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 ค่านิยมหลักหรือศูนย์รวมความเป็นไทยอยู่ที่สถาบันกษัตริย์ แต่ช่วงระหว่างหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พ.ศ. 2475 ถึงช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ความหมายของ “ความเป็นไทย” เปลี่ยนศูนย์กลางจากสถาบันกษัตริย์ หันมาให้ความสำคัญกับพลเมือง โดยการสร้างวาทะกรรมความเป็นคนไทยที่เน้นอุปนิสัย คือ เป็นคนที่มีศิลปะไทย รักอิสรภาพ มีนิสัยใจคอที่รักความก้าวหน้า มุมานะอุตสาหะขยันหมั่นเพียร มีความสามัคคี แต่ไม่ขัดแย้งกับฐานคติเรื่องการจงรักภักดีต่อกษัตริย์และนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นการปรับนิยามให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้นำประเทศ ที่ต้องการเน้นฐานะนำผู้ผู้นำประเทศที่เป็นบุคคลธรรมดาไม่ใช่กษัตริย์เหมือนในอดีต โดยเฉพาะในยุคที่จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม มีอำนาจ แนวคิดชาตินิยมแบบ “เชื้อชาตินิยม” จึงถูกนำมาใช้อย่างเข้มข้น โดยมีเป้าหมายเพื่อกีดกันคนจีนไม่ให้เข้าไปมีอำนาจทางการเมือง และกีดกันอำนาจทางเศรษฐกิจเพื่อเปิดทางให้แก่นโยบายทุนนิยมแห่งชาติ
แต่เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลงเข้าสู่ยุคสงครามเย็น ความหมายของ “ความเป็นไทย” ก็กลับมารวมศูนย์ทางความคิดที่การมีความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ โดยอธิบายว่า เพราะสถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งที่ทำให้ชาติไทยมีระเบียบ ความสงบสุข ความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้า และนับถือศาสนาพุทธในฐานะแหล่งที่มาของศีลธรรม ที่สำคัญคือ การเน้นย้ำว่าคนไทยต้องรู้ที่ต่ำที่สูง ไม่เบียดเบียนกัน รักการปกครองแบบไทย พูดภาษาไทย รู้วรรณคดีไทยและศิลปะไทย มีขนบธรรมเนียมและประเพณีแบบไทย[6]
ที่สำคัญคือวาทะกรรม “การปกครองแบบไทย” มีอิทธิพลทางความคิดต่อสังคมไทยโดยรวมอย่างมากแม้กระทั่งปัจจุบัน ซึ่งมีการตอกย้ำว่าคนไทยต้องยอมรับการปกครองแบบไทย หมายถึง 1. ยอมรับการใช้อำนาจของผู้ปกครองและข้าราชการ 2. ยอมรับโครงสร้างสังคมที่แบ่งคนออกเป็นลำดับชั้น โดยเชื่อว่าจะทำให้สังคมเกิดระเบียบ มีความมั่นคงและสงบสุข รวมทั้งทำให้คนไทยยอมรับการมีอภิสิทธิ์ของคนบางกลุ่ม และยอมรับในความไม่เป็นธรรมที่เกิดแก่ตนหรือคนอื่นในสังคม 3. มีระเบียบ ในความหมายที่ยอมรับความไม่เสมอภาค รู้ฐานะต่ำสูงของตนเอง ไม่ใช้เสรีภาพเกินขอบเขตและไม่สร้างความวุ่นวาย ซึ่งผู้ที่ที่มีบทบาทสูงในการกำหนดนิยาม “ความเป็นไทย” ในช่วงนี้คือ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ที่มีเป้าหมายในการใช้ความเป็นไทย “จัดระเบียบความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมไทย”[7]
หลังสงครามเย็นสิ้นสุด สังคมไทยก็เข้าสู่บริบทของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และเกิดเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่นิยาม “ความเป็นไทย” ก็ยังคงยึดติดกับหลักคิดเดิม ซึ่งระเบียบที่ถูกกำหนดไว้ในความสัมพันธ์ทางสังคมแบบไทย คับแคบเกินกว่าจะรองรับความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้[8]
สรุป จะเห็นว่าการนิยามความหมายของ “ความเป็นไทย” เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดขึ้นและมีความเข้มข้นตั้งแต่ยุคการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา โดยตลอดระยะเวลาตั้งแต่เริ่มต้นจนมาถึงปัจจุบัน ความหมายของ “ความเป็นไทย” มีแก่นของแนวคิดอยู่ที่ความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ นับถือศาสนาพุทธ และมีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับวัฒนธรรมไทยที่มีความศิวิไลซ์ อย่างไรก็ตามในแต่ละยุคสมัยมีการแต่งเติมเปลี่ยนแปลงลักษณะบางประการเข้าไป เพื่อให้ “ความเป็นไทย” มีความหมายที่สมบูรณ์และตอบโจทย์ความต้องการของผู้นำประเทศในช่วงเวลานั้น
1 อภิรัชต์ คงสมพงษ์ : นักการเมืองเดิม–พวกซ้ายตกขอบ สร้างวาทกรรมแบ่งแยกประชาชน, บีบีซีไทย,หนังสือพิมพ์ออนไลน์, วันที่ 2 เมษายน 2562, สืบค้นจาก https://www.bbc.com/thai/thailand-47782717
2 ธงชัย วินิจกุล, คนไทย คนอื่น, (กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, 2560), หน้า 17.
3 นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์, ชาตินิยมกับพหุวัฒนธรรม [ออนไลน์ล], ปาฐกถาในการประชุมวิชาการ ระหว่างวันที่ 22-23 ธันวาคม 2551, แหล่งที่มา https://prachatai.com/journal/2008/12/19495, (25 กรกฎาคม 2561).
4 สายชล สัตยานุรักษ์, การสร้าง “ความเป็นไทย” กระแสหลัก และ “ความจริง” ที่ “ความเป็นไทย” สร้าง, ใน ประวัติศาสตร์วิธีคิดเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมไทย, (เชียงใหม่, 2550), หน้า 42.
5 สายชล สัตยานุรักษ์, การสร้าง “ความเป็นไทย” กระแสหลัก และ “ความจริง” ที่ “ความเป็นไทย” สร้าง, ใน ประวัติศาสตร์วิธีคิดเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมไทย, (เชียงใหม่, 2550), หน้า 42 – 43.
6 สายชล สัตยานุรักษ์, การสร้าง “ความเป็นไทย” กระแสหลัก และ “ความจริง” ที่ “ความเป็นไทย” สร้าง, ใน ประวัติศาสตร์วิธีคิดเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมไทย, (เชียงใหม่, 2550), หน้า 42 – 43.
7 สายชล สัตยานุรักษ์, การสร้าง “ความเป็นไทย” กระแสหลัก และ “ความจริง” ที่ “ความเป็นไทย” สร้าง, ใน ประวัติศาสตร์วิธีคิดเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมไทย, (เชียงใหม่, 2550), หน้า 58- 63.
8 สายชล สัตยานุรักษ์, การสร้าง “ความเป็นไทย” กระแสหลัก และ “ความจริง” ที่ “ความเป็นไทย” สร้าง, ใน ประวัติศาสตร์วิธีคิดเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมไทย, (เชียงใหม่, 2550), หน้า 64.