ครั้งที่แล้วได้นำเสนอข้อมูลเรื่อง “หลักประกันชราภาพ” ไว้คร่าวๆ เกี่ยวกับความหมายและทิศทางการจัดตั้งระบบนี้ขึ้นในสังคม ใน “แล้วเราจะแก่ไปด้วยกัน…อย่างไร” ครั้งนี้จะนำรายละเอียดเกี่ยวกับระบบหลักประกันชราภาพ หรือเงินบำนาญชราภาพ มานำเสนออีกครั้ง เพื่อให้เห็นทิศทางและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งระบบนี้
ทำไมต้องมีบำนาญชราภาพ
ประเทศไทยมีประชากรที่อายุมากกว่า 60 ปี เกินกว่าร้อยละ 10 ซึ่งจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆและประมาณการณ์ว่า อีกราว 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีจำนวนผู้สูงอายุถึง 1 ใน 4 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่ง ณ เวลานั้นอาจเรียกได้ว่าไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น สัดส่วนประชากรวัยแรงงานกลับมีแนวโน้มลดลง ในขณะเดียวกันความก้าวหน้าด้านการแพทย์ก็ทำให้อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้น ดังนั้นสังคมในอนาคตจะมีผู้สูงอายุที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ในวัยชรายาวนานขึ้น และอาจไม่มีครอบครัวคอยเกื้อหนุนเนื่องจากไม่มีลูกหลาน หรือลูกหลานมีภาระทำให้ไม่สามารถเลี้ยงดูได้
นอกจากการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในประชากรผู้สูงอายุแล้ว ยังมีภาวะอื่นที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุโดยตรงซึ่งทำให้ผู้สูงอายุไทยต้องเผชิญกับภาวะขาดความมั่นคงทางชีวิต เช่น เป็นหม้าย การศึกษาต่ำ ความยากจน การย้ายถิ่นของคนหนุ่มสาว ถูกทอดทิ้ง ความรู้สึกว่าไม่มีค่า เป็นต้น
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างหลักประกันรายได้ในวัยสูงอายุ ซึ่งโดยหลักการแล้ว รัฐบาลควรเข้ามามีบทบาทสร้างหลักประกันด้านรายได้ยามชราภาพเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางชีวิตและสังคม
ที่มาภาพ digital agent
เดิมที ประเทศไทยมีการจัดสรรเบี้ยยังชีพให้แก่คนชรา แต่เป็นเบี้ยสำหรับผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น กลไกนี้เกิดปัญหาในขั้นตอนการพิสูจน์ความยากจนว่า ใครบ้างคือผู้เหมาะสมที่จะได้รับเบี้ยยังชีพ จึงเกิดปัญหาการคัดเลือกที่ไม่โปร่งใส และในบางพื้นที่ การได้รับเบี้ยยังชีพขึ้นอยู่กับความสนิทสนมกับนักการเมืองท้องถิ่น
ดัชนีชี้วัดรายได้ที่เพียงพอต่อค่าอาหารในการยังชีพ คือ เส้นความยากจนi ซึ่งในปี พ.ศ. 2550 เส้นความยากจนของคนไทยคือผู้ที่มีรายได้เท่ากับ 1,443 บาทต่อเดือน หากกำหนดสวัสดิการชราภาพโดยใช้เกณฑ์เริ่มต้นใกล้เคียงกับเส้นความยากจน และกำหนดให้ต้องปรับปรุงอัตราเพิ่มเติมโดยอ้างอิงเส้นความยากจนและภาวะเงินเฟ้อ ก็จะทำให้บำนาญพื้นฐานสำหรับผู้สูงอายุใกล้เคียงความจริง ช่วยให้ผู้สูงอายุดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกัน ซึ่งจากการคำนวณของนักเศรษฐศาสตร์ พบว่า หากรัฐจัดบำนาญพื้นฐานเมื่ออายุ 60 ปี ในอัตราที่ใกล้เคียงเส้นความยากจน 1,500 บาท/เดือน ในปี พ.ศ.2553 รัฐจะใช้งบประมาณ 142,182 ล้านบาท และเมื่อคำนวณข้ามไปอีก 40 ปีข้างหน้าคือ พ.ศ. 2593 รัฐจะใช้งบประมาณสำหรับบำนาญชราภาพ 320,460 ล้านบาท
- อัตราภาษีทั่วไป ร้อยละ 0.5
- อัตราภาษีสำหรับที่อยู่อาศัยของตนไม่ได้ประกอบเชิงพาณิชย์ร้อยละ 0.1 ยกเว้นบ้านราคาไม่เกิน 1 ล้านในกรุงเทพ และ5 แสนบาทในต่างจังหวัด
- อัตราภาษีสำหรับเกษตรกรรมที่ดินที่ใช้ ไม่เกินร้อยละ 0.05
ร่วมเสนอร่างพระราชบัญญัติหลักประกันชราภาพแห่งชาติ (กองทุนบำนาญประชาชน) พ.ศ. …