รวมตลกร้ายก่อนประชามติ: ทั้งขำขื่นและสะอื้นเศร้า

เรียกได้ว่าเป็นโค้งสุดท้ายแล้วก่อนถึงวันลงประชามติ  7 สิงหาคม 2559 ก่อนหน้านี้มีทั้งข่าวเคลื่อนไหว สงครามระหว่างฝั่งโหวตเยส-โหวตโน ดราม่าโหวตโน โนโหวต เยอะแยะไปหมด แต่หนึ่งในประเภทข่าวที่ฮอตฮิตติดลมบนชนิดที่มีให้เห็นกันทุกวันและสื่อก็เอามาเล่นกันแทบจะทุกช่องจน ‘กลบ’ ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญซะโงหัวไม่ขึ้น ก็คือข่าว ‘การกระทำแปลกๆ’ ที่เกิดขึ้นกับการลงประชามติ ทั้งที่ตั้งใจทำและไม่ตั้งใจทำ หนำซ้ำการกระทำไม่ได้จำกัดเฉพาะ ‘คน’ ที่ทำด้วยสิ 

และนี่คือบรรยากาศหน้าข่าวแบบทั้งขำขื่นและสะอื้นไม่ออก ที่ไอลอว์รวบรวมไว้ ก่อนถึงวันชี้ชะตาในคูหา เอา-ไม่เอา ร่างรัฐธรรมนูญ

 

จดหมายปริศนาไร้นามผู้รับ-ส่ง

ปรากฏข่าวครึกโครมแทบทุกช่องโทรทัศน์เกี่ยวกับมือมืดที่ส่งจดหมายป่วนประชามติ ในจังหวัดแถบภาคเหนือ 13 กรกฎาคม 2559 เว็บไซต์นาวทเวนตี้ซิกส์รายงานว่า ตำรวจและทหารนำกำลังเข้าตรวจสอบจดหมายกว่า 2,000 ฉบับ ที่ที่ทำการไปรษณีย์แห่งหนึ่ง หลังสงสัยว่าเนื้อความในจดหมายโจมตีร่างรัฐธรรมนูญ บุญธรรม ประสงค์วรากิจ หัวหน้าไปรษณีย์จังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า พบจดหมายลักษะเดียวกันที่ตู้ไปรษณีย์หลายอำเภอในเชียงใหม่ โดยหย่อนใส่ตู้ไปรษณีย์สาธารณะพร้อมไม่ระบุชื่อผู้ส่ง แต่ระบุหน้าซองผู้รับเป็นบ้านเลขที่ในภาคเหนือ เนื้อหาจดหมายส่วนหนึ่งระบุว่า ก่อนลงประชามติให้ไตร่ตรองด้วยตัวเอง เพราะอาจได้สิทธิ หรือ เสียสิทธิ เช่น 1. สิทธิด้านการรักษาพยาบาล ร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 47 กำหนดให้รักษาพยาบาลฟรี เฉพาะผู้ยากไร้ เท่ากับ 30 บาท รักษาทุกโรคถูกยกเลิกไป 

ไม่ใช่แค่ที่เชียงใหม่เท่านั้น ก่อนหน้าหนึ่งวัน ที่ลำปาง ทหารก็เข้าค้นที่ทำการไปรษณีย์แห่งหนึ่ง พบจดหมายลักษณะผิดปกติจำนวนเกือบ 3,000 ฉบับ โดยจ่าหน้าซองลงเพียงเลขที่บ้าน แต่ไม่ระบุชื่อผู้รับ และไม่ระบุชื่อผู้ส่ง และจดหมายบางซองไม่ได้ปิดผนึก เมื่อเปิดออกดูพบมีข้อความลักษณะบิดเบือนสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญที่ผิดไปจากร่างรัฐธรรมนูญจริง จากการสอบถามพนักงานไปรษณีย์ทราบว่า จดหมายดังกล่าวถูกส่งไว้ตามตู้รับจดหมายในพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดลำปาง โดยจดหมายทั้งหมดระบุส่งไปที่จังหวัดลำพูน ในลักษณะคล้ายจดหมายจากทางราชการ

24 กรกฎาคม 2559 ศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. เผยว่า ได้รับรายงานว่าสามารถจับมือมืดที่ปล่อยจดหมายได้แล้ว โดยผู้ต้องหาคือพงพันธ์ จีระวัง อายุ 33 ปี ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานพยายามก่อความวุ่นวายเพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เนื่องจากหลังตรวจสอบลายนิ้วมือแฝงบนซองจดหมายที่ตู้ไปรษณีย์ จังหวัดลำปาง เบื้องต้นพงพันธ์ให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกันกับแพรพรรณ โยวะศิลป์ทร และภรรยา พับเอกสารใส่ซองจดหมายประมาณ 500 ซอง แต่ไม่ได้เป็นผู้จัดหา และนำไปส่งเจ้าหน้าที่ จึงควบคุมตัวนายพงพันธ์ส่ง สภ.เมืองลำปาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 

เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ แต่ถ้าเด็กฉีกกระดาษ?

มาต่อกันที่ข่าวมือดีฉีกบัญชีรายชื่อประชามติ ที่กลายเป็นประเด็นใหญ่ทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์และจอโทรทัศน์ในช่วงไล่เลี่ยกันกับข่าวมือมืดกับจดหมายปริศนา

16 กรกฎาคม 2559 มีเหตุฉีกทำลายบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติเกิดขึ้นที่บริเวณหน่วยออกเสียงที่จังหวัดกำแพงเพชร หลังสืบสวนตรวจสอบแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจพบผู้กระทำผิดเป็นเด็กหญิง 2 คน อายุเพียง 8 ขวบเท่านั้น จึงได้เชิญทั้งสองพร้อมผู้ปกครองมาสอบถาม เยาวชนทั้ง 2 ยอมรับว่าฉีกบัญชีรายชื่อดังกล่าวจริง แต่กระทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นเพียงเล่นเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีไปตามกฎหมาย แต่แม้จะมีความผิดแต่เด็กก็ไม่ต้องรับโทษเพราะขาดเจตนาและอายุยังไม่ถึง 10 ขวบตามกฎหมายกำหนด

อีกข่าวนึงซึ่งเกี่ยวกับ ‘เด็ก’ ที่ร้อยเอ็ด ประชาไทรายงานว่า มีเหตุฉีกบัญชื่อรายชื่อผู้มีสิทธิ์ลงประชามติ หลังสืบสวน น้อย (นามสมมุติ) ผู้เป็นแม่ และนุ้ย (นามสมมุติ) วัย 9 ขวบ เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.โพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด หลังเค้นสอบจนรับว่าลูกชายเป็นคนฉีกจริง รับว่าทำด้วยความคึกคะนองเพียงลำพังคนเดียว พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับนุ้ย ข้อหาทำให้เสียหาย ทำลายเอกสารซึ่งเป็นทรัพย์มีไว้ใช้เพื่อสาธารณะ แต่เป็นเด็กอายุเพียง 9 ขวบ จึงปล่อยตัวไปก่อน และมอบให้ผู้ปกครองนำกลับไปควบคุมดูแล และบอกว่าจะเรียกตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม หลังเจ้าหน้าที่ปล่อยให้กลับบ้านกับแม่ ปรากฏว่า นุ้ยซึ่งเรียนอยู่ชั้น ป.3 ไม่ได้ไปโรงเรียนตามปกติมา 3 วันแล้ว ครูและเพื่อนๆ ของนุ้ยจึงไปตามหาที่บ้านพักที่เป็นบ้านเช่า เมื่อไปถึงบ้านเช่าพบว่าไม่มีใครอยู่ และไม่มีสิ่งของใดๆ เหลืออยู่ จากการสอบถามเพื่อนบ้านข้างเคียงก็ทราบว่าหลังจากเกิดเรื่องขึ้นและตำรวจปล่อยกลับมาบ้านในช่วงเย็นๆ ยังเห็นทั้งแม่และลูกอยู่ในบ้าน แต่ต่อมาตอนเช้าก็ไม่พบ 2 แม่ลูกแล้ว คาดว่าพากันย้ายบ้านหลบหนีไปในเวลากลางคืนโดยไม่มีใครทราบว่าไปไหน

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ครูประจำชั้นรู้สึกเป็นห่วงเรื่องการเรียนของเด็กเพราะถ้าขาดเรียนหลายวันก็จะเรียนไม่ทันจึงได้พยายามโทรศัพท์ติดต่อผู้ปกครองของเด็ก แต่ไม่สามารถติดต่อได้ คาดว่าแม่คงกลัวลูกมีความผิดจึงแอบพาลูกชายหนีไป โดยอาจจะพาหนีไปหาพ่อที่จังหวัดอุบลราชธานี อย่างไรก็ตามครูอยากจะให้ผู้ปกครองติดต่อกลับมาเพื่อพาลูกกลับมาเรียนหนังสือ และหากจะย้ายไปเรียนที่อื่นก็ขอให้มาย้ายลูกออกไปแล้วไปเรียนต่อที่อื่นเพื่อไม่ให้เด็กเสียอนาคต

และที่ระยองมีรายงานว่าบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ บริเวณศาลาอเนกประสงค์ที่ทำการกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มแม่บ้านสตรีชากคา อำเภอแกลง ถูกฉีกขาดหายไปรวม 3 แผ่น ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรบ้านกร่ำ นำตัวเด็กนักเรียนชั้น ม.1 และ ม.2 รวมทั้งหมด 4 คน ไปสอบสวนปากคำ  เด็กนักเรียนให้การยอมรับว่า ฉีกกระดาษบนกระดานที่หน่วยเลือกตั้งจริง คิดว่าเป็นกระดาษเก่าแล้วจึงฉีกทิ้ง ไม่ทราบว่าเป็นบัญชีรายชื่อ ส่วนเด็กนักเรียนอีกคนยอมรับว่า ไม่ได้เป็นคนฉีก แต่ยอมรับเป็นคนยืมไฟแช็กเพื่อนที่มาด้วยกันจุดไฟเผากระดาษ ส่วนคนที่ขยำกระดาษที่ฉีกแล้วนำไปทิ้งริมคลอง และเจ้าของไฟแช็กไม่ยอมรับ ต่อมาในเช้าวันที่ 23 กรกฎาคม 2559  ตำรวจสถานีตำรวจบ้านกร่ำ นำตัวเด็กนักเรียน 2 คน ที่ให้การรับสารภาพไปส่งฟ้องศาลเด็กและเยาวชนและครอบครัว จังหวัดระยอง 

 

เมื่อเอกสารประชามติมีประโยชน์เป็น ‘วัถตุไวไฟ’ ไล่ยุง

ในยามจำเป็น สุภาษิต ‘รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี’ คงใช้ได้อยู่เสมอ แต่หากสิ่งที่ใช้เพื่อเอาตัวรอดนั้นเป็น ‘ของต้องห้าม’ การเอาตัวรอดนั้นก็อาจจะพาซวยได้เช่นกัน เช่น กรณีชายหนุ่มคนหนึ่งเผาเอกสารเกี่ยวกับการลงประชามติที่ขอนแก่น ต่อมาวันที่ 25 กรกฎาคม 2559 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวนายเอก (นามสมมุติ) เยาวชนชายอายุ 16 ปี นักศึกษาระดับชั้น ปวช. วิทยาลัยอาชีวศึกษาแห่งหนึ่งในเขตอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น จากเหตุทำลายและเผาเอกสารประกาศกำหนดหน่วยออกเสียงและที่ออกเสียง และบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียง ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 36 ชุมชนใหม่สามัคคี เขตเทศบาลเมืองชุมแพ จังหวัดขอนแก่น

ส่วนหนึ่งของคำเบิกความมีว่า “ผู้ต้องหารับสารภาพว่า ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาก่อเหตุจริง โดยแรกตั้งใจมารับแฟนซึ่งอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว แต่เนื่องจากฝนตกหนักจึงเข้าไปหลบภายในศาลา และโดนยุงกัดเยอะ จึงฉีกแผ่นเอกสารดังกล่าวลงมาเผาจุดไล่ยุง โดยไม่ทราบว่าเอกสารดังกล่าวนั้นเป็นเอกสารที่สำคัญของทางราชการ” ก่อนที่เจ้าหน้าที่กฎหมายของ กกต.ขอนแก่น เข้าแจ้งความเอาผิดกับผู้ที่ก่อเหตุแล้วที่ สภ.ชุมแพ ข้อกล่าวหาขัดขวางการปฏิบัติงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตาม พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติฯ และผิดมาตรา 188 และ 360 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ฐานทำลายเอกสารและทำลายทรัพย์สินสาธารณะ

 

‘Smoke Kills’

นอกจากจุดไล่ยุงและคลายหนาวแล้ว อีกหนึ่งคุณสมบัติของบัญชีรายชื่อลงประชามติคือนำมามวนสูบเป็นบุหรี่ ซึ่งนอกจากจะทำให้เสียสุขภาพกายแล้ว ก็ต้องเสียสุขภาพจิตจากการโดนดำเนินคดีด้วย

22 กรกฎาคม 2559 มีรายงานถึงเหตุฉีกบัญชีรายชื่อลงประชามติที่หน่วยเลือกตั้งที่ 76 ศาลาอเนกประสงค์ชุมชนมาบข่า (สำนักอ้ายงอน) เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด ระยอง และต่อมา 25 กรกฎาคม 2559 มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่จับกุมตัวณัฐวุฒิ บุญมา หรือกอล์ฟ อายุ 25 ปี ชาวบ้านจังหวัดหนองบัวลำภู ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพคดีฉีกบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ ทั้งนี้ ณัฐวุฒิ ผู้ต้องหารับสารภาพว่า ” คืนเกิดเหตุประมาณ 20.00 น. ได้กินเหล้าและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ โดยเพื่อนเป็นคนขี่ รวม 2 คน ไปจับปลาบริเวณคลองตรงข้ามศาลาอเนกประสงค์ ด้วยความเมา และรู้สึกอยากสูบบุหรี่แต่ไม่มีบุหรี่สูบ จึงเดินไปฉีกกระดาษที่กระดานในศาลาอเนกประสงค์ มานั่งมวนกระดาษแล้วจุดไฟสูบใกล้คลองดังกล่าว” โดยเขาอาจจะถูกดำเนินคดีฐานทำลายเอกสารและทำลายทรัพย์สินสาธารณะ และถูกคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ชุมแพ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 

ขำกลิ้งลิงกับหมา

คนก่อเรื่องยังไม่พอ ยังมีเรื่องเกี่ยวกับสรรพสัตว์ที่กระทำการ ’ปู้ยี่ปู้ยำ’ บัญชีรายชื่อลงประชามติ ทั้ง ‘สัตว์ป่า’ และ ‘สัตว์เลี้ยง’ เลยทีเดียว

มาเริ่มกันที่เรื่องราวของหมา 27 กรกฎาคม 2559 พ.ต.ต.เดชพล กอสนาน ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดชัยภูมิ รับแจ้งว่ามีเอกสารรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติประจำหน่วยถูกทำลาย และหายไปในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาต่อเนื่องในหลายพื้นที่ หนึ่งในนั้นคือเขตอำเภอเมืองชัยภูมิ หลังเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ผู้ใหญ่บ้านหินกอง หมู่ 6 พร้อมด้วยเจ้าอาวาสวัดบ้านหินกอง และชาวบ้านใกล้เคียงวัดจำนวนมากยืนยันว่า ไม่มีใครมาทำลายเอกสารประจำหน่วยประชามติให้เสียหายแต่อย่างใด หากแต่เกิดจากลมฝนตกหนักที่ผ่านมา พัดจนป้ายล้ม และมีกลุ่มฝูงสุนัขในวัดหลายตัวพากันคาบไปเล่นจนเสียหายกระจายไปทั่ววัดเท่านั้น

ต่อกันด้วยเรื่องราวของลิง 24 กรกฎาคม 2559 ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดพิจิตร พร้อมเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบบริเวณศาลาวัดหาดมูลกระบือ ตำบลย่านยาว อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร หลังรับแจ้งว่าบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิลงประชามติของหน่วยลงคะแนนแห่งหนึ่งที่ติดไว้ 15 แผ่น ถูกทำลายฉีกขาดกระจัดกระจายไปทั่วทั้งศาลาวัด

จากการสอบถามในที่เกิดเหตุพบเด็กชาย 3 คน ที่อยู่ในเหตุการณ์ หนึ่งในนั้นให้ข้อมูลว่า เห็นฝูงลิงซึ่งมี ‘ไอ้บาก’ เป็นจ่าฝูง นำทัพลิงป่าบุกฉีกบัญชีรายชื่อ จึงเข้าไปไล่ แต่กลับถูกฝูงลิงไล่ขบกัดจนต้องวิ่งหนีกระเจิง พร้อมตะโกนเรียกให้พยานในเหตุการณ์อีกคนเข้ามาช่วย แต่ก็ทำได้แค่ช่วยถ่ายรูป

ที่พีคกว่านั้นคือหลังเหตุการณ์นี้ สองวันถัดมาข่าวสดออนไลน์รายงานว่า พล.ต.ต.จรวย ผลประเสริฐ รอง ผบก.ภ.จว.พิจิตร ทำหนังสือถึง กกต.พิจิตรเพื่อสอบถามว่าจะแจ้งความดำเนินคดีหรือไม่ ซึ่งจากข้อเท็จจริง ลิงแสมเป็นสัตว์ป่า ฉะนั้นไม่ต้องใช้ข้อกฎหมายใดๆ

 

‘กาโน’ กาแฟปรุงสำเร็จผสมเห็ดหลินจือ

จากกาแฟชื่อไม่ดังที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก กลายเป็นยี่ห้อทอล์คออฟเดอะทาวน์ชั่วข้ามคืน เว็บไซต์ข่าวศรีสะเกษรายงานว่า  23 กรกฎาคม 2559 มีกระดาษที่เขียนข้อความว่า ‘กาโน’ ผูกติดกับไม้ไผ่ ลักษณะคล้ายธง ปักไว้ข้างทางเป็นแนวยาวเต็มสองข้างทาง ระหว่างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ศรีสะเกษ เขต 2 ถึงสี่แยกบ้านสองห้อง หมู่ 8 ตำบลกำแพง ระยะทางรวม 200 เมตร หลังได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจึงตรวจยึดธงกาโน จำนวน 47 อัน ไว้เพื่อตรวจสอบ ด้านธวัช สุระบาล ผวจ.ศรีสะเกษ ก็รีบรุดเดินทางไปที่ ศรส.อ.อุทุมพรพิสัย ทันทีที่ได้รับรายงาน พร้อมกับเรียกประชุมเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบหาแหล่งที่มาของธงดังกล่าว ต่อมาก็ต้องงงไปตามๆ กัน เมื่อสืบทราบว่า ต้นตอของธงดังกล่าวและวัตถุประสงค์ในการปัก ไม่เกี่ยวกับการออกเสียงประชามติเลยสักนิด แต่เป็นชื่อยี่ห้อกาแฟปรุงสำเร็จผสมเห็ดหลินจือ ที่ผู้แทนจำหน่ายมาเช่าประชุมที่ร้านอาหารในละแวกนั้นนำมาปักไว้ เพื่อนำทางแก่ผู้เข้าร่วมประชุม อีกทั้งยังไม่มีเจตนาที่จะสร้างความปั่นป่วนในสังคมแต่อย่างใด

 

ด้วยพิษสุราเมรัย

กลางดึกวันที่ 28 กรกฎาคม 2559 สำนักข่าวไทยรายงานว่า มีชายชาวกัมพูชา อายุ 28 ปี เมาอาละวาดทำลายสถานที่หน่วยออกเสียงและบอร์ดใช้ติดบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิลงประชามติล้มระเนระนาด ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่คุมตัวไว้ได้ พบว่าไม่มีเอกสารหลักฐานประจำตัว จึงส่งไปดำเนินคดีที่ สภ.ปากน้ำประแสร์ ข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่พักอาศัยในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนบัญชีรายชื่อยังอยู่ในสภาพปกติ

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

บทความยอดนิยม

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage