เรียกแล้วกักตัวได้ 7 วัน และต้องเซ็นยินยอมสละเสรีภาพของตัวเอง
![](https://farm6.staticflickr.com/5553/14792591399_1b53ec3017_o.png)
(ภาพประกอบ เอกสารแนบท้ายประกาศ คสช.)
หากใครไม่ยอมลงชื่อในเอกสารเพื่อรับรองว่าระหว่างการถูกกักตัว ทหารไม่ได้ทำการละเมิดสิทธิมษุยชน ก็ไม่มีอะไรรับรองได้ว่าพวกเขาจะได้รับการปล่อยตัว ยิ่งไปกว่านั้นแม้สุดท้ายจะได้รับการปล่อยตัวแต่ก็ไม่ได้รับอิสรภาพคืนดังเดิม 100% เพราะไม่สามารถเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ เท่ากับว่าทันทีที่ถูกเรียกตัว แม้จะมารายงานตัวทันตามกำหนดและไม่เคยกระทำความผิดอะไรมาก่อนก็ตาม การถูกเรียกตัวก็จะนำมาสู่การถูกจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานอยู่ดี
นอกจากนี้มีรายงานว่า หลังจากที่บางคนได้รับการปล่อยตัวแล้วจะมีเจ้าหน้าที่ทหารคอยแวะเวียนมาพูดคุย โทรศัพท์มาพูดคุย หรือคอยสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวอยู่เป็นประจำ อันนำมาซึ่งความหวาดกลัวและหวาดระแวง ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกด้วย
อีกมุมหนึ่งของการเรียกรายงานตัว
คำกล่าวของ คสช. ที่ว่า “บ้านเมืองจะสงบพลเมืองจะมีความสุขได้ด้วยความปรองดอง” นั้นอาจจะจริง แต่การเรียกคนที่มีความเห็นต่างทางการเมืองมารายงานตัว กักตัวไว้ในค่ายทหาร และหลังปล่อยตัวบังคับไม่ให้เขาเคลื่อนไหวแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจาก คสช. นั้น เห็นแต่จะมีแต่พาสังคมออกห่างจากความปรองดองมากขึ้นๆ
การเรียกบุคคลให้มารายงานตัว เพื่อปรับทัศนคติหรือเปลี่ยนความเชื่อที่เขาคิดและเชื่อแบบนั้นมาจากประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตย่อมไม่ใช่เรื่องสมเหตุสมผลที่จะสามารถทำได้ อีกทั้งรัฐไม่มีสิทธิเข้ามาแทรกแซง กำหนดความคิดหรือวิถีชีวิตของบุคคล เสรีภาพในความคิดนั้นเป็นเสรีภาพที่รัฐไม่อาจแทรกแซงได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น การที่มีรายงานว่าผู้ที่ถูกกักตัวบางคนถูกซ้อมทรมานเพื่อบังคับให้รับสารภาพ หรือให้ข้อมูล เช่น กรณีคุณกริชสุดา คุณะแสน (อ่านข่าวเพิ่มเติม) หรือการได้รับการปฏิบัติอย่างนักโทษที่ถูกตัดสินจำคุกทั้งที่เขายังไม่เคยถูกศาลตัดสิน เช่น กรณีคุณจิตรา คชเดช (อ่านข่าวเพิ่มเติม) ล้วนแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยภายใต้อำนาจการปกครองของ คสช. ยังมีประชาชนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่มีโอกาสได้รับการ “คืนความสุข” ให้เหมือนดังที่โฆษณากัน
ภาพปกจาก: http://pantip.com/topic/32415518