รู้จักศาลทหาร และข้อสังเกตเรื่องเขตอำนาจ

กฎหมายเกี่ยวกับศาลทหาร :

รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 228

พระราชบัญญัติธรรมนูญทหาร พ.ศ.2498

โครงสร้างศาลทหาร :

ศาลทหารอยู่ในสังกัดกระทรวงกลาโหม มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้รับผิดชอบงานธุรการ 

ปัจจุบันมีพลเอกจิระ โกมุทพงศ์ เป็นเจ้ากรมพระธรรมนูญรับผิดชอบงานฝ่ายบริหาร มีพลเรือโท กฤษดา เจริญพานิช เป็นหนัวหน้าสำนักตุลาการทหาร มีพลตรี ขวัญชัย สมนึก เป็นหัวหน้าอัยการทหาร

ลำดับชั้นของศาลทหาร :

ศาลทหารแบ่งออกเป็นสามชั้น คือ

(1) ศาลทหารชั้นต้น

(2) ศาลทหารกลาง

(3) ศาลทหารสูงสุด

ศาลทหารชั้นต้น แบ่งออกเป็น

(1) ศาลจังหวัดทหาร ทุกจังหวัดทหารให้มีศาลจังหวัดทหารศาลหนึ่ง เว้นแต่จังหวัดทหารที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลทหาร มีอำนาจพิจารณาคดีฐานความผิดยกเว้นคดีที่จำเลยเป็นนายทหารสัญญาบัตร พิพากษาคดีที่จะลงโทษสูงไม่ได้

(2) ศาลมณฑลทหาร ทุกมณฑลทหารให้มีศาลมณฑลทหารศาลหนึ่ง เว้นแต่มณฑลทหารที่ตั้งศาลทหารกรุงเทพ มีอำนาจพิจารณาคดีฐานความผิดยกเว้นคดีที่จำเลยเป็นนายทหารชั้นนายพล

(3) ศาลทหารกรุงเทพ มีเขตอำนาจไม่จำกัดพื้นที่ พิจารณาพิพากษาคดีอาญาได้ทุกบทกฎหมายโดยไม่จำกัดยศของจำเลย

(4) ศาลประจำหน่วยทหาร ตั้งขึ้นเมื่อหน่วยทหารปฏิบัติหน้าที่อยู่นอกราชอาณาจักร หรือกำลังเดินทาง และมีกำลังทหารไม่น้อยกว่าหนึ่งกองพัน

“ศาลทหารในเวลาไม่ปกติ” คือ ศาลทหารชั้นต้น ในเวลาที่มีสงคราม หรือการประกาศใช้กฎอัยการศึก จะมีระเบียบวิธีพิจารณาที่แตกต่างไปบ้าง

ตุลาการศาลทหาร :

ตุลาการทหาร อาจเป็นนายทหารที่ไม่รู้กฎหมายก็ได้ แต่ตุลาการพระธรรมนูญเป็นนายทหารที่มีความรู้กฎหมาย

ศาลทหารชั้นต้น ต้องมีตุลาการสามนายเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา คือ นายทหารชั้นสัญญาบัตรสองนาย ตุลาการพระธรรมนูญหนึ่งนาย

ศาลทหารกลางต้องมีตุลาการห้านายเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา คือ นายทหารชั้นนายพลหนึ่งหรือสองนาย นายทหารชั้นนายพัน นายนาวา หรือนายนาวาอากาศขึ้นไป หนึ่งหรือสองนาย ตุลาการพระธรรมนูญสองนาย

ศาลทหารสูงสุดต้องมีตุลาการห้านายเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา คือ นายทหารชั้นนายพลสองนาย ตุลาการพระธรรมนูญสามนาย

การพิจารณาคดีของศาลทหาร : 

  • ศาลทหารในเวลาปกติ ผู้เสียหายที่เป็นทหารเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาเองได้ ผู้เสียหายที่เป็นพลเรือน ต้องมอบคดีให้ศาลทหาร ศาลทหารในเวลาไม่ปกติ ต้องให้อัยการทหารเท่านั้นเป็นโจทก์
  • ศาลทหารในเวลาปกติและศาลทหารในเวลาไม่ปกติ ให้จำเลยมีทนายได้ 
  • การพิจารณาและสืบพยานในศาลทหาร ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพหรือไม่ติดใจฟัง จะไม่ทำต่อหน้าจำเลยนั้นก็ได้ (ศาลพลเรือนการพิจารณาทุกขั้นตอนต้องทำต่อหน้าจำเลยเท่านั้น)
  • ถ้าไม่มีกฎหมาย กฎและข้อบังคับฝ่ายทหารก็ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม ถ้าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่จะใช้ได้

การอุทธรณ์และฎีกา : 

คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในเวลาปกติ โจทก์หรือจำเลยอุทธรณ์หรือฎีกาได้ภายในสิบห้าวัน
คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในเวลาไม่ปกติ ห้ามอุทธรณ์หรือฎีกา

ศาลทหารไม่ยุ่งเกี่ยวคดีแพ่ง :

ผู้เสียหายจะร้องขอให้จำเลยคืนทรัพย์ หรือชดใช้ค่าเสียหายในศาลทหารไม่ได้ ถ้าโจทก์ร้องขอให้ยึดทรัพย์จำเลย ให้ส่งคดีนั้นไปยังศาลพลเรือน แต่เมื่ออัยการทหารร้องขอศาลทหารมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์ หรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐบาลได้ในกรณีที่จำเลยกระทำผิด

เขตอำนาจของศาลทหาร :  

พิจารณาจากบุุคคล

คนที่ต้องถูกพิจารณาคดีที่ศาลทหาร ก็คือ ทหาร นักเรียนทหาร พลเรือนที่สังกัดอยู่ในราชการทหาร บุคคลซึ่งอยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารโดยชอบด้วยกฎหมาย เชลยศึก

พิจารณาจากประเภทคดี

– ความผิดต่อกฎหมายทหาร หรือความผิดอาญาอื่น 

– ความผิดอาญาตามบัญชีต่อท้ายกฎอัยการศึก ในกรณีมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกและประกาศให้คดีบางประเภทอยู่ในอำนาจของศาลทหาร ซึ่งจะมีอำนาจเหนือบุคคลทุกประเภท ทั้งพลเรือน และทหาร

คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร คือ 

– คดีที่ทหารกระทำความผิดร่วมกับพลเรือน เช่น ทหารขายยาเสพติดต้องขึ้นศาลทหาร ถ้าทหารขายยาเสพติดร่วมกับภรรยาต้องขึ้นศาลพลเรือน

– คดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน  

– คดีที่ผู้กระทำความผิดเป็นด็กและเยาวชน

– คดีที่ศาลทหารเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหาร

คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลให้พิจารณาพิพากษาที่ศาลพลเรือน ถ้าภายหลังกลายเป็นว่าอยู่ในอำนาจของศาลทหาร แต่ศาลพลเรือนรับฟ้องไปแล้ว ก็ให้ศาลพลเรือนมีอำนาจพิจารณาพิพากษาต่อไป 

เขตอำนาจของศาลทหาร กรณีประกาศใช้กฎอัยการศึก :  

ผู้มีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึกอาจประกาศให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกและในระหว่างที่ใช้กฎอัยการศึกตามที่ระบุไว้ในบัญชีต่อท้ายพระราชบัญญัติ 

วันที่ 25 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ออกประกาศฉบับที่ 37/2557 ให้บรรดาคดีความผิดตามที่กำหนดไว้ดังต่อไปนี้ ซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นในเขตราชอาณาจักร และในระหว่างที่ประกาศนี้ใช้บังคับอยู่ในอำนาจพิจารณาคดีของศาลทหาร

1. ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

(1) ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่มาตรา 107 ถึงมาตรา 112

(2) ความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่มาตรา 113 ถึง มาตรา 118 ยกเว้นซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 หรือพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

2. ความผิดตามประกาศ หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ข้อสังเกตต่อประกาศฉบับที่ 37/2557 

          1. ความผิดที่ถูกประกาศให้ต้องขึ้นศาลทหาร ต้องกระทำในเขตราชอาณาจักร และกระทำระหว่างที่ประกาศนี้ใช้บังคับ เพราะฉะนั้น ความผิดที่กระทำนอกราชอาณาจักร และการกระทำก่อนประกาศนี้ใช้บังคับ (ก่อนวันที่ 25 พฤษภาคม 2557) หรือก่อนการรัฐประหาร ย่อมไม่อาจขึ้นศาลทหารได้ ให้ไปขึ้นศาลพลเรือนตามปกติ

          2. เนื่องจากมีการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2557 มีผลถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2557 ในเขตกรุงเทพมหานคร จ.นนทบุรี อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี และ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ดังนั้นความผิดตามมาตรา 113-118 ที่เกิดขึ้นในท้องที่เหล่านี้ ก่อนวันที่ 30 มิถุนายน 2557 ต้องไปขึ้นศาลพลเรือน

          3. ในเขตพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และบางส่วนใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ดังนั้น ความผิดตามมาตรา 113-118 ที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องไปขึ้นศาลพลเรือน

          4. ความผิดตามประกาศ หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ไม่ใช่ความผิดตามบัญชีแนบท้ายของกฎอัยการศึก ยังไม่แน่ว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอำนาจประกาศให้ความผิดอื่นนอกบัญชีแนบท้ายฯ อยู่ในอำนาจศาลทหารได้หรือไม่ 

ไฟล์แนบ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage