ตามรายงานของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ในปัจจุบันมีประเทศที่มีพระมหากษัตริย์หรือพระราชินีเป็นประมุขของรัฐอยู่ 43 ประเทศ บางประเทศพระมหากษัตริย์หรือพระราชินีมีสถานะเป็นประมุขของรัฐในเชิงพิธีกรรมแต่ไม่มีอำนาจทางบริหาร เช่น ญี่ปุ่น เบลเยียม สวีเดน หรือสหราชอาณาจักร ขณะที่ประเทศอย่างบรูไน หรือประเทศในตะวันออกกลางอย่างซาอุดิอาระเบีย และกาตาร์ พระมหากษัตริย์หรือสุลต่านเป็นประมุขแห่งรัฐที่มีอำนาจในทางบริหาร
บาห์เรนเป็นประเทศในตะวันออกกลางอีกหนึ่งประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ แม้ในทางทฤษฎี บาห์เรนจะปกครองโดยระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) แต่ในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของรัฐก็มีอำนาจในทางการเมือง ขณะที่สมาชิกในคณะรัฐมนตรีก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นญาติของพระมหากษัตริย์ เช่น นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เชค คอลิฟะห์ บิน ซัลมาน อัล คอลิฟะห์ เป็นพระปิตุลา (ลุง) ของกษัตริย์ ฮามัด บิน อิซา อัล คอลิฟะห์ สถานการณ์เสรีภาพในการแสดงออกของบาห์เรนก็มีความคล้ายคลึงกับไทย ตรงที่มีการดำเนินคดีบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านสุลต่าน เหมือนกับในไทยที่มีการดำเนินคดีบุคคลด้วยมาตรา 112

กฎหมาย “หมิ่นฯ” ในบาห์เรน
บาห์เรนเป็นเกาะเล็กๆ ในอ่าวเปอร์เซีย มีกรุงมานามาเป็นเมืองหลวง จากข้อมูลของกระทรวงข้อมูลข่าวสารของบาห์เรน ในปี 2557 บาห์เรนมีประชากรประมาณ 1.316 ล้านคน บาห์เรนเคยเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษก่อนจะได้รับเอกราชในปี 2514 หลังได้รับเอกราชบาห์เรนใช้ชื่อทางการว่ารัฐบาห์เรน (State of Bahrain) มีอามีร์ หรือผู้ปกครองรัฐเป็นประมุขของประเทศก่อนที่ในปี 2545 บาห์เรนจะเปลี่ยนชื่อประเทศจากรัฐบาห์เรนเป็นราชอาณาจักรบาห์เรนและเปลี่ยนตำแหน่งประมุขแห่งรัฐจากอามีร์ (Amir) เป็นกษัตริย์ (King)

(กษัตริย์ฮามัด บิน อิซา อัล คอลิฟะห์ ประมุขของบาห์เรน – ภาพจากเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศของไทย)
ตำแหน่งประมุขแห่งรัฐของบาห์เรนถูกคุ้มครองโดยมาตรา 214 ของประมวลกฎหมายอาญาปี 2519 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้กระทำการล่วงเกินต่อผู้ปกครองรัฐ ธงชาติ หรือตราแผ่นดินจะต้องรับโทษจำคุก” ในเดือนเมษายน 2556 มีรัฐบาลบาห์เรนเห็นชอบการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 214 โดยกำหนดโทษจำคุกไม่เกินห้าปีและปรับไม่เกิน 10,000 ดินาร์ (ประมาณ 910,000 บาท) กับผู้ที่กระทำการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือล่วงละเมิดต่อสัญลักษณ์ของชาติ (เช่น ธงชาติหรือตราแผ่นดิน) ต่อมาในปี 2557 มีการแก้กฎหมายมาตรานี้อีกครั้ง โดยครั้งนี้มีการกำหนดโทษจำคุกขั้นต่ำหนึ่งปีและโทษสูงสุดไม่เกินเจ็ดปีและโทษปรับ 1,000 ดินาร์ (91,000 บาท) ถึง 10,000 ดินาร์ (910,000 บาท)
ตามรายงานของศูนย์สิทธิมนุษยชนแห่งบาห์เรน (Bahrain Center for Human Rights) (หน้า 6) หนึ่งในสมาชิกสภาสูงของบาห์เรนแสดงความเห็นเกี่ยวกับการแก้กฎหมายว่า พระมหากษัตริย์เป็นประมุขและเป็นตัวแทนแห่งรัฐ การเพิ่มโทษผู้กระทำความผิดจึงมีความจำเป็นโดยเฉพาะเมื่อมีการละเมิดกฎหมายมากขึ้นในโลกออนไลน์
อิสรภาพ กับ 140 ตัวอักษร
ที่บาห์เรน การแสดงความเห็นที่เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 214 หลายคดีเกิดขึ้นในทวิตเตอร์ซึ่งต่างจากกรณีของไทยซึ่งเท่าที่มีข้อมูลยังไม่มีคดีใดที่เกิดจากการเผยแพร่ข้อความผ่านทวิตเตอร์
วันที่ 17 ตุลาคม 2555 ชายชาวบาห์เรนสี่คนถูกจับและควบคุมตัวหลังถูกสงสัยว่าเขียนข้อความที่เข้าข่ายเป็นการล่วงละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ของบาห์เรน ห้าวันต่อมาในวันที่ 22 ตุลาคม ทั้งสี่ถูกนำตัวไปที่ศาล โดยทั้งหมดให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2555 หนึ่งในผู้ต้องหาซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยชื่อ ถูกพิพากษาว่ามีความผิดและถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลาหกเดือน ส่วนผู้ต้องหาอีกสามคนที่เหลือยังไม่มีรายละเอียดว่ามีการตัดสินอย่างไร
ในเดือนเดียวกัน อาลี อับดุลลาห์ อาหมัด อัลฮายากิ (Ali Abdullah Ahmad al-Hayaki) ถูกพิพากษาจำคุกเป็นเวลาสี่เดือนจากการเผยแพร่ข้อความบนทวิตเตอร์แสดงการต่อต้านกษัตริย์บาห์เรนรวมสองข้อความ ศาลยังสั่งให้ยึดโทรศัพท์ไอโฟนของอัลฮายากิไว้ด้วย ในเดือนเดียวกันศาลบาห์เรนก็สั่งให้จำคุกชายไม่เปิดเผยชื่ออีกคนหนึ่งเป็นเวลาหกเดือนด้วยข้อกฎหมายเดียวกันจากการโพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ ทั้งอัลฮายากิและผู้ต้องหาไม่ทราบชื่ออีกคนหนึ่งถูกพิพากษาจำคุกน้อยกว่าหนึ่งปีเพราะคดีของพวกเขามีการพิพากษาก่อนการแก้ไขกฎหมายให้มีโทษจำคุกขั้นต่ำหนึ่งปี
ในเดือนพฤษภาคม 2556 ศาลบาห์เรนก็มีคำพิพากษาจำคุกบุคคลรวมหกคนจากการโพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ด้วยข้อหาเดียวกันเป็นเวลาหนึ่งปีแต่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อหรือรายละเอียดการกระทำ
ต่อมาในวันที่ 30 มิถุนายน 2556 ศาลอาญาในบาห์เรนมีคำพิพากษาให้จำคุก อาลี อัล โชฟา (Ali Al Shofa) นักเรียนมัธยมชาวบาห์เรนวัย 17 ปีเป็นเวลาหนึ่งปีจากการเผยแพร่ข้อความที่เข้าข่ายผิดกฎหมายตามมาตรา 214 บนทวิตเตอร์ซึ่งใช้ชื่อ “@alkawarahnews” ศูนย์สิทธิมนุษยชนแห่งบาห์เรนระบุว่าอัล โชฟาถูกเจ้าหน้าที่บุกจับที่บ้านในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2556 และถูกคุมขังที่เรือนจำเป็นเวลา 2 เดือนในชั้นสอบสวน
เสียงจากนักสิทธิ
มัรยัม อัล-เฆาอายะห์ จาก เดอะกัลฟ์เซ็นเตอร์ฟอร์ฮิวแมนท์ไรท์ (The Gulf Center for Human Rights) ระบุว่า นักปกป้องสิทธิในบาห์เรนที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนมักจะถูกดำเนินคดีด้วยกฎหมายอาญามาตรา 214 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะไม่มีนิยามที่ตายตัวว่าคำว่า “ดูหมิ่น” หรือ “insult” ตามกฎหมายนี้หมายความว่าอะไร ครอบคลุมการแสดงออกรูปแบบไหนบ้าง การทำงานตามปกติของนักสิทธิในบาห์เรนจึงอาจถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

มัรยัม อัล-เฆาอายะห์ นักสิทธิชาวบาห์เรนจาก Gulf Center for Human Rights
มัรยัมยกตัวอย่างว่า การวิจารณ์กฎหมายใหม่ที่พระมหากษัตริย์ประกาศใช้ก็อาจถูกมองว่าเป็นการดูหมิ่นหรือ insult พระมหากษัตริย์ได้ สำหรับกลไกที่ใช้ในการหาตัวคนมาดำเนินคดี มัรยัมเล่าว่า มีอยู่สองแนวทางหลักๆ ทางหนึ่ง คือ การจัดตั้งระบบสายด่วนเพื่อให้คนโทรเข้ามาแจ้งเบาะแสผู้ที่แสดงความเห็นต่อต้านพระมหากษัตริย์กับทางการ ส่วนอีกทางหนึ่งคือการใช้เทคโนโลยีสอดแนมการสื่อสารของนักกิจกรรม
สำหรับการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของผู้ต้องหาคดีมาตรา 214 มัรยัมชี้ว่าเป็นการยากที่ผู้ต้องหาคดีนี้จะเข้าถึงความยุติธรรมเพราะหลายครั้งองค์คณะผู้พิพากษาในคดีนี้เป็นคนในครอบครัวของพระมหากษัตริย์ เช่น องค์คณะผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีของไซนาบ น้องสาวของมัรยัมที่ประท้วงด้วยการฉีกภาพของพระมหากษัตริย์ก็มีบุคคลที่เป็นญาติของพระมหากษัตริย์รวมอยู่ด้วย ไซนาบถูกพิพากษาจำคุกสามปี อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เธอยังไม่ถูกจองจำเพราะได้รับการประกันตัวระหว่างสู้คดีในชั้นอุทธรณ์
RELATED POSTS
No related posts