มาจากพม่าค่ะ ก็มาทำงานเนาะ มาทำงาน เมื่อก่อนมีคนลักพาตัวมา…

“มาจากพม่าค่ะ ก็มาทำงานเนาะ มาทำงาน เมื่อก่อนมีคนลักพาตัวมา…”

“ตอนนั้นอายุ 12 ค่ะ พอดีว่า ยายให้ไปวัดกับเพื่อน แล้วที่นี่จะมีผู้หญิงคนหนึ่งมาแอบมองอยู่ตั้งหลายวัน เขาก็ลักพาตัวมาโดยที่ไม่รู้ตัวเลย เขาหลอกมาแบบว่า อยากได้ชุดไหม อย่างเงี้ย ก็อยากได้ แล้วก็ซื้อชุดมาให้ มาหลอกแบบนี้ หนึ่งครั้งสองครั้งน่ะค่ะ แล้วเขาก็พามา เลยแม่น้ำโขงค่ะ มาสองคน หลังจากนั้นก็ไม่รู้ตัวอีกเลย…”

“เพิ่งมารู้ตัวตอนที่อยู่แม่สาย เขาเอาถุงกระสอบควบมา หลังจากนั้นก็มาขังไว้ที่แม่สาย ประมาณสักอาทิตย์นึงก็พามาที่เชียงใหม่ ข้ามป่าข้ามดอยมาแล้วก็มาขังไว้ตรงที่แม่ริม เป็นบ้านสาว บ้านซ่อง พามาสองคน ตอนนั้นราคาอยู่สูงสุด 80 บาท ไม่พร้อมทำงานค่ะ ยังไม่พร้อมทำงาน กลัวด้วย แล้วก็พูดภาษาไทยยังไม่เข้าใจ เขาถามอะไรก็ยังไม่รู้เรื่องสักอย่าง คือ ร้องไห้อยากจะกลับบ้านอย่างเดียว แล้วก็อยู่ได้ประมาณเดือนนึงก็ยังไม่พร้อมที่จะออกจากห้องเขาก็ทุบๆ ตีๆ”

“จะมีคนคุมอยู่หน้าบ้านตลอดเลย มีคนคุมอยู่ตลอดเวลา มันจะเป็นห้องเล็กๆ แล้วก็มีหนังสือพิมพ์ติด ห้องน้ำก็แค่ก่อขึ้นมานิดเดียวเอง เพื่อนอีกคนหนึ่งชอบโวยวายเขาขังอีกที่ อันนั้นเพื่อนตาย แต่อันนี้รอด บ้านสาวมันจะมีสองบ้าน บ้านข้างในเป็นอีกบ้านหนึ่ง บ้านข้างนอกเขาเอามาขังไว้โดยเฉพาะ อันนี้ก็เลยเลือกที่จะนั่งตู้เป็นชั้นๆ แล้วก็มีแขกมาสองคน น้องก็ส่งสัญญาณเรียกให้เขามาช่วย แต่พวกแมงดาเขายืนอยู่สองฝั่งแล้วก็ชี้หน้า ผู้ชายก็เลือกเอาเข้าห้อง เข้าไปแล้วมีแมงดาเฝ้าอยู่หน้าห้องด้วย”

“น้องเป็นคนไทใหญ่ เจอลูกค้าที่ใจดี ตอนแรกเขาจะเอาชั่วคราว อันนี้ก็ไม่ยอม ไม่ยอมให้ลูกค้าเอา คนที่เขามาซื้อตัวก็เป็นไทใหญ่เหมือนกันก็เลยเล่าให้เขาฟัง ก็ร้องไห้ด้วย ขอให้เขาช่วยหน่อยนะ เราไม่อยากอยู่ที่นี่ เราโดนลักพาตัวมา อีกอย่างคือไม่มีพ่อไม่มีแม่ตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เกิดมา เพราะว่าอยู่กับยาย แล้วก็ยายอยู่คนเดียว คิดอยากจะกลับบ้านอย่างเดียวไปหายาย”

“ผู้ชายคนนั้นก็มาค้างคืนทุกคืนเลย เขาไม่ทำอะไรเลย เพื่อไม่ให้แมงดาเขาเข้ามาจับมาตี แกมาประมาณเดือนนึง มาค้างคืนทุกวันๆ เมื่อก่อนยอดเงินเวลานั้นมันแพงนะ ทองบาทนึงแค่สามพันกว่าบาทเอง วันละ 80 บาทหรือร้อยนึง แล้วแต่เป็นบางวัน ให้แกจ่ายตังค์แกก็ช่วย ช่วยมาตลอด”

“มาถึงวันที่หนีออก ก็จุดธูป บอกให้แม่หรือแม่ธรณี หรือว่าที่ล่วงลับไปแล้ว จุดธูปหนึ่งดอกปักดิน ลมเหมือนพายุ เพื่อนจะไปไหม ไปกับฉันนะ นัดเขามาแล้วให้มารออยู่ข้างล่าง แมงดาเขายืนอยู่ฝั่งนู้นกับข้างหลัง อันนี้จับแขนเพื่อนจะวิ่ง แต่เพื่อน อื้ออออ ไม่เอา ไม่เอา อันนี้ไม่สนแล้วไปอย่างเดียว ก็คือวิ่งลงมา ไปนอนในน้ำตกแม่สาหนึ่งคืน เพื่อนอะไม่รอด เขาขังเขาซ้อม”

“ผู้ชายคนที่เขาไปค้างคืนนั่น เขาก็แค่อยากจะช่วยเรา เขามีครอบครัวอยู่แล้ว แล้วไม่มีที่นอน ไม่มีที่พัก ก็เลย (บอกเขา) ว่าเอาไปปล่อยไว้ที่ไหนก็ได้ที่ว่าพอจะนอนได้ แล้วเดี๋ยวหางานเองก็แล้วกัน แกก็เอามาอยู่ตรงนี้ก็แล้วกันนะ มานอนบ้านร้างที่ไม่มีคนอยู่ แต่หลังคาโปร่งหมดแล้ว แบบไม่มีเจ้าของแล้ว ก็เลยเก็บกวาดแล้วก็นอนพักอยู่ที่นู่น”

“ข้างบ้านเขามาเห็นเขาก็เอาข้าวมาให้ ก็นั่งร้องไห้อยู่ ไปขอพี่มีงานอะไรให้ทำไหมคะ พูดไทยไม่ได้ ก็ใช้เป็นภาษามือ ทำงาน (พูดพลางแสดงท่ากวาดพื้น) หิวข้าว (พูดพลางแสดงท่าจับท้อง) เขาให้ทำสวน พักอยู่ที่บ้านร้างนั่นประมาณเดือนนึงก็ได้งาน ทำสวนเสร็จแล้วก็เขาให้ไปทำความสะอาด ล้างห้องน้ำ เก็บขี้วัวขี้หมูขี้หมาก็เก็บไป ทำทุกอย่าง ได้เงิน 50 บาท 30 บาทแล้วแต่เขาจะให้ เขาให้ เราก็เก็บไว้ เงินทุกบาททุกสตางค์เก็บอย่างเดียว”

“มาอยู่ได้ประมาณสักปีนึงก็เริ่มพูดเป็น กินข้าว ไปไหน มาไหน ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ แล้วก็ค่อยๆ ทำงาน เวลาที่ข้างบ้านเขาสอนหนังสือเราก็ไปแอบจำเอา ไปแอบมองเขาทำอะไรบ้าง เพื่อให้เรามีชีวิตรอดอยู่ต่อไป เพื่อให้เราจะได้งาน เราจะได้ย้ายที่อยู่ใหม่ๆ”

“นานๆ ทีเขา (ผู้ชายคนที่เคยช่วยไว้) จะไปเที่ยวหา เพราะไม่อยากให้ลูกเมียของเขาเข้าใจผิด ก็เลยบอกว่าถ้ามีลูกเมียแล้วก็ไม่ต้องให้ลูกเมียมาลำบากเพราะอันนี้นะ เพราะกลัวลูกเมียเขาจะมาทำร้าย ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยเพราะเมื่อก่อนไม่มีโทรศัพท์ค่ะ หายไปเลย ทุกวันนี้ก็ยังตามหาพี่ผู้ชายคนนั้นอยู่เลยค่ะ อยากตอบแทนบุญคุณ ถ้าสมมติว่าไม่ได้ผู้ชายคนนั้นน่ะ คงไม่อยู่ถึงวันนี้แน่นอน ไม่รู้ชะตากรรมจะเป็นแบบไหน อาจจะไม่โดนหรืออาจจะเป็นโรคร้ายไปก็ได้ เราไม่รู้ เพราะมันอยู่ในบ้านอย่างนั้นแล้วไง ถูกบังคับทุกอย่าง”

“อยากเล่าเหมือนกัน แต่ไม่มีใครถาม ไม่กล้าพอที่จะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง นี่เล่าครั้งแรก”

มาจากพม่าค่ะ ก็มาทำงานเนาะ มาทำงาน เมื่อก่อนมีคนลักพาตัวมา…

นี่คือเรื่องราวชีวิตของ นานา คนที่ถูกบังคับให้ต้องทำงานขายบริการทางเพศตั้งแต่เด็กด้วยความไม่เต็มใจ ทำให้เธอต้องพรากจากบ้าน จากถิ่นฐานเดิม จากครอบครัว มาดิ้นรนใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยฐานแบบพลเมืองชั้นสอง ที่ไม่เพียงแค่เรื่องสัญชาติและการเข้าเมืองจะทำให้เธอมีปัญหาทางกฎหมายแล้ว อาชีพของเธอก็ยังทำให้เธอต้องมีปัญหาทางกฎหมายอีก

เราได้พบกับนานา ในวันที่เธออายุได้ 45 ปีแล้ว เธอฝ่าฟันทุกอุปสรรคที่ทำลายความเป็นมนุษย์ในวัยเด็ก ผ่านการใช้ชีวิตหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งการทำงานให้บริการทางเพศ และงานอื่นๆ อีกมากมาย จนกระทั่งยืนหยัดขึ้นมาหาเลี้ยงตัวเองได้ ก่อนที่จะได้มาพบกับมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ที่ทำงานดูแลสิทธิและสวัสดิภาพของคนทำงานให้บริการทางเพศ (Sex Worker) ซึ่งไม่ได้รับการเหลียวแล และถูกเลือกปฏิบัติจากระบบกฎหมายที่เป็นอยู่ จนกระทั่งได้มาทำงานเป็นพนักงานที่ Can Do Bar ซึ่งเป็นธุรกิจของมูลนิธิที่มีขึ้นเพื่อคนทำงานให้บริการ และยังได้ร่วมกิจกรรมของมูลนิธิเรื่อยมา จนกระทั่งมีโอกาสได้มานั่งเล่าเรื่องชีวิตในอดีตอันน่าเจ็บปวดของตัวเอง

“ยายเสียแล้วค่ะ ตอนหายออกมายายก็ตรอมใจ หลังจากทำงานแล้วก็ได้ (กลับบ้าน) ไปครั้งหนึ่ง ตอนนั้นอายุ 25 ไปเจอแต่ศพ นั่งรถกลับไป ไปทำบัตรประชาชนฝั่งนู้น ทำพาสปอร์ตถูกต้องแล้วก็มาใหม่ เมื่อก่อนมันทำง่ายมันไม่ได้ยากเหมือนตอนนี้ จะทำอะไรก็ยาก ทำอะไรก็แพงไปหมด ใจมันไม่อยากอยู่ที่นู่นแล้วมันชอบเชียงใหม่ไปแล้ว ทุกวันนี้ก็ฝากชีวิตไว้กับเชียงใหม่ พูดเมืองก็ได้ ไทยก็ได้”

“ทำงานคาราโอเกะบ้าง ไปช่วยเพื่อน ทำงานอะโกโก้บ้าง นี่คือไปเต้นเลยค่ะ เพื่อนชวนว่าลองทำไหม ตอนแรกก็ไม่เป็น ใส่รองเท้าก็ไม่เป็น ก็อายด้วย ทำงานร้านอาหารบ้าง ร้านอาหารเกาหลี ร้านอาหารจีน ร้านอาหารไทย แล้วก็ทำเสริมสวยประมาณ 10 ปี เพราะว่ามันทำให้เวลาเราแก่ตัวขึ้นมาเรายังมีอาชีพติดตัว ร้านขายกับข้าวนี่เราต้องทำทุกวันต้องซื้อของทุกวัน แต่เสริมสวยนี่สิมีวันหมดอายุก็จริง แต่เราก็เลือกที่วันผลิตมาใหม่ เราถึงจะไว้ได้นาน ไม่ต้องลงทุนบ่อยๆ”

“ตอนทำคาราโอเกะก็นั่งดริงก์ แล้วก็เสิร์ฟ อันดับแรกก็ไปเสิร์ฟก่อน พอเขาสนใจก็อยากลองไปนั่งดริงก์ ก็ต้องทำเป้านะคะ 80 ดื่มเราถึงจะได้เงินเดือน ถ้าสมมติว่าไม่ถึงเป้าเงินของเราก็ไม่ถึง ก็มีหักค่าชุดบ้าง มีหักค่าที่พัก ค่าแต่งหน้า ค่าทำผม คาราโอเกะใหญ่ๆ ส่วนมากจะมีช่างแต่งหน้าช่างทำผมแยกโซนกัน ชุดกับรองเท้าเราก็ต้องเสียเหมือนกัน ทำเสริมสวยตอนกลางวันแล้วตอนกลางคืนก็ไปทำงาน ก็แบ่งเวลา ร้านเสริมสวยเข้าประมาณ 10 โมง ถ้าอยากเลิกเร็วก็ไปร้านเร็วหน่อยประมาณเจ็ดโมง เลิกประมาณห้าโมงหรือหกโมงก็ไปทำงานต่อ เพราะการทำคาราโอเกะเราต้องตอกบัตรเข้า สายหักนาทีละห้าบาท 10 บาท”

“เคยโดนตอนนั้นเขา (ตำรวจ) เข้ามาตรวจ เข้ามาเป็นกลุ่มใหญ่เลยเขารวบไปทีเดียวเลย แล้วก็ติดคุกด้วยหนึ่งเดือน เขาก็บอกจะส่งกลับ แต่หนู (ถาม) ว่าส่งกลับแล้วหนูไปที่ไหนคะ ถ้าส่งกลับก็เหมือนหนูไปตายแหละ ไม่อยากกลับ ให้พาไปทำอะไรก็ได้ ไปที่ไหนก็ได้ แต่อย่าทำร้ายหนู หนูเหลือตัวคนเดียว เขาบอกว่าโอเคไม่มีที่อยู่ใช่ไหม เขาเลยเอาไปทำที่บ้านให้เป็นแม่บ้าน เป็นตำรวจมียศหน่อย นอกจากนั้นก็ส่งกลับหมดเลย เหลืออยู่คนเดียวเขาเอาไปทำงานบ้านเขา ก็ได้เงินเดือนด้วย อยู่ห้าปีก็ขอไปข้างนอกดีกว่า”

“ทำงานที่นี่ (Can do Bar) อยู่แบบพี่แบบน้อง มีนักกิจกรรมออกไปพบเพื่อนต่างๆ ได้เรียนรู้ประสบการณ์อื่น แล้วก็มีประกันสังคมให้ด้วย ชอบงานยกของ ชอบอะไรที่มันหนักๆ พูดไม่ค่อยเก่ง ชอบใช้กำลังมากกว่า”

“มีความหวังให้ Sex Worker ถูกต้องตามกฎหมาย ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เป็นทุกข์อยู่ได้ทำงานเลี้ยงครอบครัว ได้ส่งดูแลพ่อแม่ที่กำลังป่วยอยู่ อย่างอื่นก็ไม่ได้เยอะเนาะ งาน Sex Worker ก็ยังไม่ได้เยอะ แต่เราขอให้กฎหมายนี้ผ่านออกมาได้”

นานา ยังเข้าร่วมกิจกรรมของมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ และเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนมาเข้าชื่อกันเสนอร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ แต่นานาไม่มีสัญชาติไทย จึงไม่สามารถร่วมลงชื่อเพื่อใช้สิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายฉบับนี้ได้ แม้ว่ากฎหมายนี้จะมีขึ้นเพื่อตัวเธอเอง อาชีพของเธอ ศักดิ์ศรีและสิทธิเสรีภาพของเธอกับเพื่อนๆ

การเสนอร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศต้องการผู้สนับสนุน 10,000 รายชื่อ ผู้ที่เห็นด้วยสามารถร่วมเข้าชื่อเพื่อเสนอกฎหมายฉบับนี้ได้คลิกที่นี่

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศได้ คลิกที่นี่

RELATED TAGS