สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 บรรดาพรรคฝ่ายค้านซึ่งนำโดยพรรคประชาชนได้ยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรเปิดเผยว่า น่าจะมีการอภิปรายในวันที่ 24 มีนาคม 2568 และอาจใช้เวลา 3-4 วันก่อนลงมติ
การจัดตั้งรัฐบาลสองครั้ง การยุบพรรคและตัดสิทธิสส. หลังการเลือกตั้งปี 2566 ทำให้รัฐบาลมีจำนวนเสียงที่เปลี่ยนไปมาแต่ยังคงมีเสียงข้างมากที่เด็ดขาด มาวันนี้จึงชวนนับจำนวนที่นั่งสส. ในสภากันสักหน่อยว่า นับถึงวันก่อนเริ่มอภิปราย เสียงฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลเป็นอย่างไรบ้าง
สัดส่วนแต่ละฝั่งในรัฐสภาตอนนี้มีเท่าไหร่?
นับถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย (สส.) มีอยู่ที่ 493 คน ไม่เต็มจำนวน 500 คน ประกอบไปด้วยสองฝั่งดังนี้
สส. พรรคฝ่ายรัฐบาล 318 เสียง ได้แก่
พรรคเพื่อไทย 142 เสียง
พรรคภูมิใจไทย 69 เสียง
พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง
พรรคกล้าธรรม 24 เสียง
พรรคประชาธิปัตย์ 21 เสียง*
พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง
พรรคประชาชาติ 9 เสียง
พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง
พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง
พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง
พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง
* พรรคประชาธิปัตย์จำนวนจริงคือ 25 เสียงแต่ไม่โหวตเห็นชอบนายกรัฐมนตรีครั้งที่ผ่านมา 4 เสียง
สส. พรรคฝ่ายค้าน 166 เสียง ได้แก่
พรรคประชาชน 143 เสียง
พรรคพลังประชารัฐ 19 เสียง
พรรคไทยสร้างไทย 3 เสียง
พรรคเป็นธรรม 1 เสียง
ส่วนที่เหลือยังคงเป็นเสียงที่ไม่มีฝ่ายชัดเจนซึ่งอาจโหวตอย่างไรก็ได้อีกเก้าเสียงจากพรรคต่างๆ ได้แก่
สส. พรรคประชาธิปัตย์สี่เสียงที่ไม่ลงมติให้แพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรี คือ ชวน หลีกภัย, บัญญัติ บรรทัดฐาน, จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์, สรรเพชญ บุญญามณี เพราะไม่เห็นด้วยที่ประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทย
สส. จากพรรคไทยสร้างไทยสามเสียง ซึ่งพรรคนี้มีสส. สามคนที่ลงชื่อในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแต่อีกสามคนไม่ได้ลงชื่อ ซึ่งสามคนนี้ยังเคยลงมติสนับสนุนให้แพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรี สส. จากพรรคไทยก้าวหน้าหนึ่งเสียง และพรรคพลังประชารัฐอีก 1 เสียง

หมากเกมนี้ แม้น้ำเงินหักแดง ก็ยังเอารัฐบาลไม่ลง
การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นหนึ่งในขั้นตอนการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลตามระบอบการปกครองประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ เกิดจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องการแสดงความคิดเห็นต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาลที่ไม่เกิดผลที่น่าพอใจ ซึ่งสามารถเสนอได้ทั้งอภิปรายรายบุคคลหรือกลุ่มคณะก็ได้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นหนึ่งในเครื่องมือการตรวจสอบการใช้อำนาจที่มีพลังมากที่สุด และสุดจำเป็นต้องจบลงด้วยการลงมติของสภาผู้แทนราษฎร
ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบันมาตรา 251 วรรคสี่ ระบุเอาไว้ว่า
“มติไม่ไว้วางใจต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร”
จากจำนวนทั้งหมดมีอยู่ 493 เสียง อย่างน้อยมติไม่ไว้วางใจจะต้องมี 247 เสียงขึ้นไปจึงจะสามารถทำให้แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ เมื่อมองฝ่ายค้านปัจจุบันมีเสียงไม่เพียงพอ จำเป็นต้องอาศัยเสียงจากสส.จากฝ่ายอีก 81 เสียงที่ “เท” รัฐบาลแล้วมาเพิ่มให้
พรรคภูมิใจไทยมีสส. ในสังกัดแท้ๆ 69 คน ถ้าหากพรรคภูมิใจไทย “หัก” กับพรรคเพื่อไทย โดยขนทั้ง 69 คนรวมรองประธานสภาผู้แทนราษฎรมาลงมติ “ไม่ไว้วางใจ” ร่วมกับฝ่ายค้านก็ยังไม่เพียงพอที่จะถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้ แต่ก็จะเพิ่มเสียงไม่ไว้วางใจได้เป็น 235 เสียง ขาดอีกเพียง 12 เสียง เป็นระดับ “ขนแขนสแตนด์อัพ”
จากจำนวนเก้าอี้สส. ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีรอบนี้ทำให้เห็นว่า แม้เสียงจากพรรคภูมิใจไทยจะ “เท” รัฐบาลเพื่อไทย แต่ก็ยัง “โค่นไม่ลง” ได้ง่ายๆ ซึ่งอธิบายปรากฏการณ์ศึกวัดใจระหว่าง “ค่ายแดง” และ “ค่ายน้ำเงิน” ที่มีอยู่ตลอดระหว่างศึกการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการตั้งเรื่องเพื่อจะสอบสวนที่มาของวุฒิสภาค่ายน้ำเงิน โดยรวมแล้วค่ายแดงยังไม่ต้องง้อค่ายน้ำเงินมากนักแต่ก็เป็นระดับ “หนาวสั่น” ได้พอสมควร

ส่วนจำนวนสส. ในพรรคการเมืองและกลุ่มอื่นๆ ของฟากฝั่งรัฐบาลนั้น ต่อให้ทั้งหมด “เท” รัฐบาลไปลงมติไม่ไว้วางใจ แต่ถ้าพรรคภูมิใจไทยไม่ได้เทด้วย ก็ยังห่างไกลที่จะถอดถอนรัฐบาลได้ เพราะเมื่อรวมเสียงจากสส. พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นอดีตรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทยในสภาชุดเดิมแล้ว ก็ยังได้ 67 เสียงเท่านั้น จึงเห็นได้ว่าตัวแปรที่จะสั่นคลอนอำนาจของรัฐบาลชุดนี้ได้ก็ยังเป็นพรรคภูมิใจไทยค่ายน้ำเงินที่ถือจำนวนเสียงมากพอ