เพิกถอนกฎคุม “ทรงผม” มรดกรัฐประหารละเมิดศักดิ์ศรีเด็กไทยกว่า 50 ปี

8 มีนาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ออกตามความในประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 หรือกฎกระทรวงควบคุมทรงผม ระบุว่า กฎกระทรวงดังกล่าวมีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ ที่มาที่ไปของคดีนี้เริ่มในเดือนกรกฎาคม 2563 กลุ่มนักเรียน 13 คน ยื่นฟ้องกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการต่อศาลปกครอง ระบุทำนองว่า ข้อกำหนดเรื่องทรงผมมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมความประพฤติและการแต่งกายของนักเรียนให้เป็นไปตามความต้องการของรัฐบาลทหาร ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเป็นการเลือกปฏิบัติ

เพิกถอนกฎคุม “ทรงผม” มรดกรัฐประหารละเมิดศักดิ์ศรีเด็กไทยกว่า 50 ปี

ออกกฎด้วยฐานอำนาจจากประกาศจอมพลถนอม หัวหน้าคณะรัฐประหาร 2514

22 เมษายน 2515 จอมพลถนอม กิตติขจร หัวหน้าคณะปฏิวัติออกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ถูกบังคับใช้ในยุคของรัฐบาล “จอมพลถนอม กิตติขจร” โดยมีจุดมุ่งหมายในการส่งเสริมและคุ้มครองความประพฤติการแต่งกาย และจรรยามรรยาทให้รัดกุมยิ่งขึ้น รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับคดีดังนี้

“(4) นักเรียนและนักศึกษาต้องประพฤติตนอยู่ในระเบียบวินัยของโรงเรียนหรือสถานศึกษาที่ตนสังกัดอยู่ และต้องแต่งกายหรือแต่งเครื่องแบบ ตามระเบียบข้อบังคับของโรงเรียนและสถานศึกษา หรือตามที่กฎหมายกำหนด นักเรียนและนักศึกษาต้องไม่แต่งกายหรือประพฤติตนไม่สมควรแก่วัย หรือไม่ เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียนและนักศึกษา ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง”

“(11)ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง และระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้” 


ต่อมากระทรวงศึกษาธิการออกกฎกระทรวงและระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามประกาศของคณะปฏิวัติสองฉบับคือ กฎกระทรวงฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2515) และกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ซึ่งฉบับที่ 2 ออกมาแก้ความในข้อ 1 (1) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 1 สาระสำคัญคือ กำหนดห้ามนักเรียนชายดัดผมหรือไว้ผมยาวจนด้านข้างและด้านหลัง ยาวเลยตีนผมหรือไว้หนวดไว้เครา นักเรียนหญิงดัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากทางโรงเรียน หรือสถานศึกษาใดอนุญาตให้ไว้ผมยาวเกินกว่านั้นต้องรวบให้เรียบร้อย รวมทั้งห้ามนักเรียนใช้เครื่องสำอางหรือสิ่งปลอมเพื่อการเสริมสวย


ปี 2546 มีการออกกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 (พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ)ในมาตรา 3 บัญญัติให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 และมาตรา 88 บัญญัติไว้ว่า “บรรดากฎกระทรวง..ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความใน…ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132ให้คงใช้บังคับต่อไปได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีการออกกฎกระทรวง…ตามพระราชบัญญัตินี้” ทั้งนี้ในพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯยังบัญญัติให้คำนึงถึงหลักประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญไว้ด้วย

ศธ.อธิบายความพยายามเปลี่ยนแปลง แย้งฟ้องคดีเกินกำหนดนับแต่วันที่รู้เหตุ

ปี 2556 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการออกหนังสือแจ้งหัวหน้าส่วนราชการว่า ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ถูกยกเลิกโดยพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ แต่กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ยังมีผลใช้บังคับอยู่ตามความในมาตรา 88 ของพ.ร.บ.ฉบับเดียวกัน มีการสั่งการสถานศึกษาให้ปรับเปลี่ยนทรงผมของนักเรียนชายเป็นแบบรองทรง ระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2562 กระทรวงศึกษาธิการจัดให้มีการประชุมทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย อันเป็นผลให้ออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ตอนหนึ่งระบุว่า “นักเรียนชายจะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวด้สนข้างด้านหลังต้องไม่ยาวเกินตีนผม ด้านหน้าและกลางศีรษะเป็นไปตามความเหมาะสมและความเรียบร้อย” อย่างไรก็ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ที่ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 132 ยังคงมีผลใช้บังคับ

นอกจากนี้ยังโต้แย้งเรื่องกำหนดเวลาที่เป็นเงื่อนไขการฟ้องคดีว่า ผู้ฟ้องคดีทั้ง 13 คน ที่มีอายุอยู่ระหว่าง 15-18 ปี เริ่มต้นอยู่ภายใต้การบังคับของกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ตั้งแต่ผู้ฟ้องคดีเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง ซึ่งหากนับวันดังกล่าวจนถึงวันที่นำคดีมาฟ้องต่อศาลถือว่าเป็นการนำคดีมาฟ้องเกินกำหนดเวลา 90 วันนับแต่วันที่รู้ถึงเหตุการณ์ฟ้องคดี ศาลปกครองสูงสุดจึงไม่อาจรับคำฟ้องไว้พิจารณาได้ ในประเด็นนี้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ถือเป็นการยื่นฟ้องคดีเพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลซึ่งเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมตามมาตรา 52 ของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ) ศาลปกครองสูงสุดรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาได้

ศาลปกครองชี้กฎกระทรวงจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุขัดรัฐธรรมนูญ

ศาลปกครองสูงสุดระบุว่า ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 1 แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 ไม่อาจถือได้ว่า เป็นกฎที่คำนึงถึงหลักประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและอาจมีการบังคับใช้กฎดังกล่าวอย่างเคร่งครัดจนอาจมีผลร้ายต่อจิตใจของเด็กที่มีความหลากหลายทางอัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งขัดกับพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯและกฎกระทรวงที่ออกตามความในพ.ร.บ.ดังกล่าว และกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) เป็นกฎที่ถูกยกเลิกตามมาตรา 3 ของพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ เนื่องจากประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 เป็นฐานอำนาจในการออกกฎกระทรวงที่พิพาท มีเจตนารมณ์ที่ขัดต่อหลักการและบทบัญญัติว่าด้วยหลักประโยชน์สูงสุดของเด็กตามมาตรา 22 ของพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ 

 ประกอบกับการพิจารณากฎกระทรวงดังกล่าวที่กำหนดลักษณะของทรงผมของนักเรียน โดยมิได้คำนึงถึงพัฒนาการของบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัยและความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคล จึงมีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุตามมาตรา 26 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญ 2560 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งใช้บังคับมิได้ พิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage
Trending post