จำคุก ม.116 สี่จำเลยคดีชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน เก้าเดือนไม่รอลงอาญา ชี้การปราศรัยสร้างความกระด้างเดื่อง

7 มีนาคม 2568 ศาลจังหวัดธัญบุรีนัดหกจำเลยคดีชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ฟังคำพิพากษา โดยคดีนี้มีข้อหาหลักคือยุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 เดิมจำเลยในคดีนี้มีเก้าคน ประกอบด้วย รุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ไมค์-ภาณุพงศ์ จาดนอก อานนท์ นำภา ณัฐชนน ไพโรจน์ เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ บอล-ชนินทร์ วงษ์ศรี ไฟซ้อน-สิทธินนท์ ทรงศิริ ลูกมาร์คและ ‘สาธร’ เป็นจำเลยที่ 1-9 ตามลำดับ แต่ระหว่างการพิจารณาไม่สามารถติดตามตัวได้สามคนได้แก่ รุ้ง-ปนัสยา ไมค์-ภาณุพงศ์และเพกวิน-พริษฐ์ ทำให้เหลือจำเลยที่มาฟังคำพิพากษาหกคน 

ต่อมาศาลจังหวัดธัญบุรีพิพากษาจำคุกสี่คนได้แก่  อานนท์ ณัฐชนน ไฟซ้อนและลูกมาร์คคนละหนึ่งปี ก่อนลดโทษเหลือคนละเก้าเดือน ส่วนชนินทร์ และ ‘สาธร’ ยกฟ้อง

จำคุก ม.116 สี่จำเลยคดีชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน เก้าเดือนไม่รอลงอาญา ชี้การปราศรัยสร้างความกระด้างเดื่อง

ที่มาที่ไปคดีชุมนุมธรรมศาสตร์จะไม่ทน

การชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน เป็นการจัดชุมนุมในมหาวิทยาลัยซึ่งมีผู้ขึ้นปราศรัยมาจากหลากหลายกลุ่ม เพื่อเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบสภาและหยุดคุกคามประชาชน รวมทั้งยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งในวันดังกล่าวได้มีการอ่านประกาศกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ฉบับที่หนึ่ง ซึ่งมีรายละเอียดเป็นข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์จำนวน 10 ข้อ 

จำเลยทั้งหมดถูกออกหมายจับทั้งหมดตั้งแต่ปี 2563 แต่ถูกจับกุมดำเนินคดีหรือเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาในช่วงเวลาต่างกันไป จำเลยแต่ละคนยังถูกแจ้งข้อกล่าวหาไม่เหมือนกัน รวมถึงถูกอัยการสั่งฟ้องต่อศาลในวันเวลาและข้อหาที่แตกต่างกันเช่นกัน 

กลุ่มแรกในวันที่ 30 สิงหาคม 2565 พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีของนักกิจกรรมห้าคน ประกอบด้วย รุ้ง-ปนัสยา ไมค์-ภาณุพงศ์ อานนท์ ณัฐชนน และเพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ ในสามข้อกล่าวหา ได้แก่ ยุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในขณะที่ชนินทร์ถูกฟ้องอีกคน แต่เฉพาะข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 

กลุ่มที่สอง วันที่ 6 ตุลาคม 2565 ไฟซ้อนถูกอัยการสั่งฟ้องในสามข้อกล่าวหาเช่นเดียวกับกลุ่มแรก และกลุ่มสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566  ‘สาธร’ และ ลูกมาร์คถูกฟ้องในสามข้อกล่าวหาเช่นเดียวกับกลุ่มแกนนำ 

สำหรับไฟซ้อนและลูกมาร์คถูกกล่าวหาจากการทำหน้าที่เป็นพิธีกรบนเวที ส่วน ‘สาธร’ ถูกระบุว่ามีชื่อเป็นผู้ร่วมรับบริจาคในการจัดเวทีชุมนุม แต่ไม่ใช่ผู้ขึ้นเวทีปราศรัยแต่อย่างใด ทั้งสามคนถูกตำรวจไล่จับกุมตามหมายจับในช่วงปี 2565 และ 2566 หลังเหตุการณ์ผ่านไปเกือบ 3 ปี และหลังคดีแรกสั่งฟ้องต่อศาลไปแล้ว ต่อมาศาลมีคำสั่งรวมการพิจารณาคดีทั้งสามเข้าด้วยกัน เนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานชุดเดียวกัน

ศาลพิพากษาจำคุกสี่คน คนละหนึ่งปี ก่อนลดโทษเหลือคนละเก้าเดือน

7 มีมาคม 2568 เวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 18 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่าจำเลยทั้งหกคนได้แก่ ณัฐชนน ชนินทร์ ไฟซ้อน ลูกมาร์ค และ ‘สาธร’ ทยอยเดินทางมาฟังยังห้องพิจารณาคดี ต่อมาอานนท์ถูกเบิกตัวมาที่ห้องพิจารณาคดีโดยมีเครื่องพันธนาการเป็นกุญแจข้อเท้า โดยพบว่ามีคิ้วข้างขวาที่ถูกโกน ซึ่งมีเหตุมาจากการประท้วงศาลของเขาในคดีละเมิดอำนาจศาลเมื่อวันที่ 5มีนาคม 2568 บรรยากาศในห้องพิจารณาคดีมีประชาชนและเพื่อนของจำเลยมาร่วมให้กำลังใจด้วยกว่าสิบคน อีกทั้งยังมีจำเลยในคดีมาตรา 112 ดังกล่าวอีกสามคนที่มารอการตรวจพยานหลักฐานด้วย ทำให้ห้องพิจารณาในวันนี้เต็มไปด้วยจำเลยในคดีทางการเมือง

เวลาประมาณ 10.25 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์ และแจ้งว่าจะอ่านคำพิพากษาในคดีนี้ก่อนที่จะตรวจพยานหลักฐาน ในคดีมาตรา 112 อีกคดีหนึ่ง ก่อนที่จะขานชื่อจำเลยทีละคนและให้ยืนขึ้นฟังคำพิพากษา ซึ่งสรุปเป็นใจความสำคัญ ได้ดังนี้

๐ ข้อหามาตรา 116 เห็นว่าพยานโจทก์ที่เป็นประจักษ์พยานอยู่ในที่ชุมนุม ไปประจำตามจุดต่าง ๆ มีเวทีอยู่สูงและมีโปรเจคเตอร์ ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนไม่ว่าจะอยู่จุดใด จึงเชื่อว่าพยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองจำเลย จึงมีความน่าเชื่อถือว่าพูดตามจริง

จำเลยที่ 1 (รุ้ง-ปนัสยา) ปราศรัยพาดพิงสถาบันกษัตริย์ฯ และอ่านข้อเรียกร้องสิบประการ ส่วนจำเลยที่ 3 (อานนท์ นำภา)ปราศรัยพาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ และณัฐชนนจำเลยที่ 4 อ่านประกาศคณะราษฎรและปราศรัยพาดพิงสถาบันกษัตริย์

จำเลยที่ 1 (รุ้ง-ปนัสยา), 3 (อานนท์ นำภา), 4 (ณัฐชนน ไพโรจน์) ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องพระราชสถานะของกษัตริย์, ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, กล่าวว่าสถาบันกษัตริย์ขยายพระราชอำนาจตามอำเภอใจ, ใช้อำนาจแทรกแซงอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และใช้อำนาจคุกคามทำร้ายประชาชนที่เห็นต่าง และมีการให้ผู้ชุมนุมทำสัญลักษณ์ต่าง ๆ 

ย่อมทำให้ประชาชนคิดและเกิดความเคลือบแคลงสงสัยโดยประการที่น่าจะทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสีย ไม่อยู่ในที่เคารพสักการะ มีการใช้ข้อมูลบางส่วนซึ่งเป็นความเชื่อที่ถูกเล่าต่อกันมาในอดีต ปราศจากการพิสูจน์มาเป็นส่วนหนึ่งในการปลุกเร้า ปลุกปั่นผู้ชุมนุมให้เห็นด้วยและคล้อยตาม เป็นการสร้างความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่อง เกิดความแตกแยก

จำเลยที่ 7 (ไฟซ้อน) และ 8 (ลูกมาร์ค) เป็นพิธีกร ถึงแม้ว่าจะไม่มีการพูดปราศรัยบนเวที แต่มีการพูดว่า “รูปที่มีอยู่ทุกบ้าน” และ “ทรงพระเจริญ” เห็นว่าเป็นการล้อเลียนสถาบันกษัตริย์ฯ 

จำเลยที่ 1 (รุ้ง-ปนัสยา) ปราศรัยหยาบคาย ผู้คล้อยตามข้อมูลที่ได้รับ อาจนำไปสู่การล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยใช้ข้อมูลที่มีเจตนาเพื่อบ่อนทำลาย หรือทำให้สถาบันกษัตริย์ล่มสลายไป ไม่ว่าพูด เขียน หรือข้อเรียกร้อง เป็นการด้อยค่า ทำให้สถาบันกษัตริย์อ่อนแอ แสดงให้เห็นเจตนาล้มล้างสถาบันกษัตริย์

ฝ่ายจำเลยต่อสู้ว่าการชุมนุมดังกล่าวเป็นความหวังดี นั้นเป็นคำกล่าวอ้างลอย ๆ ที่ขัดกับการกระทำ ถือว่าจำเลยที่ 1, 3, 4, 7, 8 แบ่งหน้าที่กันทำ อีกทั้งยังมีการยึดหนังสือ “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์ “ หรือหนังสือปกแดง และ มีจอ LCD ที่ปรากฏข้อความ “ไม่ใช่ปฏิรูป แต่คือปฏิวัติ”’ เห็นว่าการชุมนุมในวันดังกล่าวมุ่งประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันกษัตริย์ ส่งผลให้เกิดความแตกแยก

ส่วนจำเลยที่ 6 และ 9 (ชนินทร์และ ‘สาธร’) พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอฟังได้ว่ามีส่วนรู้เห็นเป็นตัวการแบ่งหน้าที่กันทำในการปราศรัย และไม่ปรากฏว่ามีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง อันมีเหตุอันควรสงสัยตามสมควร

 ข้อหา พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เห็นว่าการชุมนุมตามฟ้อง มีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้ตรวจอุณหภูมิตรงทางเข้าที่ชุมนุม ส่วนในลานพญานาคเป็นที่โล่งกว้าง อากาศถ่ายเท เมื่อเปรียบเทียบกับที่ชุมนุมนั้นไม่คับแคบ ไม่ได้อยู่หนาแน่นที่เสี่ยงต่อการใกล้ชิดสัมผัสกัน ผู้ชุมนุมสามารถเดินไปมาได้ และผู้ชุมนุมส่วนใหญ่สวมหน้ากากอนามัย แม้มีบางคนไม่สวมหน้ากากอนามัย แต่ก็เป็นส่วนน้อย ไม่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-2019 ทั้งยังไม่ปรากฏว่าในวันเกิดเหตุจะมีเหตุไม่สงบเรียบร้อยเกิดขึ้น 

ถือว่าจำเลยที่ 1, 3, 4, 6-9 ในฐานะผู้จัด ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งเจ็ดชุมนุมในสถานที่แออัด อันจะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดเชื้อโรคหรือความวุ่นวายในการจัดกิจกรรม

๐ ข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยที่ 1, 3, 4, 6-9 เป็นผู้เผยแพร่ข้อความเชิญชวนหรือเป็นผู้ถ่ายทอดสด (Live) และพยานโจทก์ไม่ได้ตรวจสอบ IP Adress บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กว่าเป็นของบุคคลใด 

พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 (รุ้ง-ปนัสยา), 3 (อานนท์), 4 (ณัฐชนน), 7 (ไฟซ้อน), 8 (ลูกมาร์ค) มีความผิดตามมาตรา 116 (2), (3) ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกคนละหนึ่งปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุกคนละเก้าเดือน ไม่รอลงอาญา และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6, 9 (ชนินทร์และ ‘สาธร’) ในทุกข้อหา และยกฟ้องจำเลยที่ 1, 3, 4, 7, 8 ในส่วนข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ผู้พิพากษาในคดีนี้ ได้แก่ ปรียานาถ เผือกสุวรรณ และ ชวลิต คณานิตย์ 

ปล่อยตัวชั่วคราวณัฐชนน ไฟซ้อนและลูกมาร์ค สู้ต่อชั้นอุทธรณ์

หลังจากฟังคำพิพากษาเสร็จสิ้น ณัฐชนนยังคงต้องอยู่ในห้องพิจารณาคดีต่อเพื่อสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานในคดีมาตรา 112 อีกคดีหนึ่งก่อน และเมื่อการพิจารณาทั้งสองคดีเสร็จสิ้นแล้ว ณัฐชนน ไฟซ้อน และลูกมาร์ค ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลเข้าใส่กุญแจข้อมือ โดยณัฐชนนถูกใส่กุญแจมือทั้งสองข้าง ส่วนไฟซ้อนและลูกมาร์คถูกใส่กุญแจมือคนละหนึ่งข้าง ก่อนนำตัวลงไปยังห้องขังใต้ถุนศาลระหว่างรอประกันตัวในชั้นอุทธรณ์

ต่อมาในเวลา 14.51 น.​ ศาลจังหวัดธัญบุรีมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวทั้งสามคน ได้แก่ ณัฐชนน ไฟซ้อน และลูกมาร์ค ในระหว่างอุทธรณ์คดี ให้วางเงินประกันตัวคนละ 100,000​ บาท ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใด ๆ เพิ่มเติม โดยหลักทรัพย์ได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์

ณัฐชนนให้สัมภาษณ์ในเวลา 18.00 น. ว่า “ผมเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนแล้ว  ที่คิดไว้ว่าคืออาจจะถูกลงโทษ 2 ปี หรือรอลงอาญาไปเลย หรือ 2 ปีแล้วรอลงอาญา แต่พอเป็น 9 เดือน ก็เซอร์ไพรส์ ผมหวังว่าคำพิพากษาจะดีขึ้นในศาลชั้นอุทธรณ์ วันนี้พอมาฟังคำพิพากษาเราฟังแล้วรู้สึกว่าเราไม่ได้ฟังการตัดสินคดี มาตรา 116 แต่เหมือนได้ฟังคำพิพากษาคดี มาตรา 113 มากกว่า เขาทำเสมือนกับว่าพวกเราเป็นกบฏล้มล้างการปกครอง ตอนอ่านคำพิพากษาเขาทวน 10 ข้อเรียกร้องและย้ำว่ามันชวนให้ “ประชาชนทำผิดกฎหมาย” ผมรู้สึกว่าประเทศไทยไม่ได้มีสิทธิเสรีภาพขนาดนั้น การนำสืบการไม่ได้ชัดเจนว่าใครทำอะไรแต่ที่ถูกพิพากษาว่าผิดอาจเป็นเพราะมันคือ “การชุมนุม 10 สิงหา” อีกประเด็นหนึ่งคือ ลูกมาร์คกับไฟซ้อนที่เป็นแค่พิธีกรนั้นไม่ควรจะต้องมาโดนคดีนี้ด้วยซ้ำ ”

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

บทความยอดนิยม

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage