ถอดบทเรียน “เขียนรัฐธรรมนูญใหม่” ฝ่าวิกฤตด้วย สสร.เลือกตั้งจากต่างประเทศ

ภาพรวมและแนวปฏิบัติที่ดีของการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่

ชิลี ไอซ์แลนด์ และแอฟริกาใต้ เป็นตัวอย่างของประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือนำพาประเทศออกจากความขัดแย้ง สองประเทศแรกเริ่มต้นจากการชุมนุมครั้งใหญ่ที่มีชนวนเหตุจากความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ จนนำสู่ข้อเรียกร้องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ชิลีมีการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญถึงสองครั้งแต่รัฐธรรมนูญยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนจนกระบวนการต้องยุติลง คล้ายคลึงกันกับไอซ์แลนด์ที่มีกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่สองครั้ง ครั้งแรกเลือกตั้งจากประชาชนทั้งหมด แต่ร่างตกไปส่วนหนึ่งด้วยช่องว่างการเปลี่ยนผ่านทางกฎหมาย ในครั้งที่สองเป็นการแต่งตั้งจากพรรคการเมือง กระบวนการก็หยุดชะงักลงจากวิกฤตทางการเมือง

ส่วนแอฟริกาใต้เป็นประเทศที่มีการใช้นโยบายการแบ่งแยกสีผิว (Apartheid) นำพาประเทศสู่สถานการณ์ความรุนแรงและสู้รบด้วยอาวุธ แต่ดอกผลของการเจรจาระหว่างรัฐบาลฝ่ายที่ใช้นโยบายกดขี่กับขบวนการปลดปล่อยประเทศจากการกดขี่นำมาซึ่งรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ประกันสิทธิและเสรีภาพของคนทุกเชื้อชาติและสีผิวอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงเปิดทางสู่การเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญจากการเลือกตั้งและมีรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้าย (Final constitution) ที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของการเปลี่ยนผ่านแอฟริกาใต้สู่สันติภาพและประชาธิปไตย

จากการศึกษารายละเอียดกระบวนการการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ของทั้งสามประเทศแล้วพอจะสรุปออกประเด็นแนวปฏิบัติที่ดีในกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ดังนี้ 

  • ความชอบธรรม – ที่มาของผู้ร่างรัฐธรรมนูญมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความชอบธรรมที่สัมพันธ์กับการยอมรับของประชาชนในประเทศดังกล่าว ตัวอย่างของรัฐธรรมนูญที่ประสบปัญหาความชอบธรรมมา เช่น รัฐธรรมนูญที่ร่างโดยคณะรัฐประหารในชิลีหรือรัฐธรรมนูญที่เป็นผลจากการปกครองที่กดขี่และปิดกั้นการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมในแอฟริกาใต้ อย่างไรก็ตามเมื่อสังคมมีฉันทามติในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่แล้วก็จำเป็นที่จะต้องมีกระบวนการได้มาของผู้แทนที่ชอบธรรม ซึ่งอาจวัดได้จากระดับการยึดโยงกันระหว่างผู้แทนและประชาชนและคุณภาพของการจัดการเลือกตั้ง กรณีของชิลีและไอซ์แลนด์ กระบวนการครั้งที่หนึ่งมีการเลือกตั้งผู้ที่จะทำหน้าที่เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งหมด โดยชิลีมีการตั้งเป็นคำถามประชามติว่า ประชาชนต้องการสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากเลือกตั้งทั้งหมดหรือแบบผสม ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ออกเสียงว่า ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
  • การประกันหลักการพื้นฐาน – แอฟริกาใต้เป็นตัวอย่างของแนวปฏิบัติที่ดีของการแสวงหาฉันทามติของสังคมและประกันหลักการดังกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งผูกพันให้สมัชชารัฐธรรมนูญต้องเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ที่สอดคล้องกับหลักการพื้นฐาน มิเช่นนั้นร่างรัฐธรรมนูญจะไม่สามารถมีผลบังคับใช้ หลักการที่จะต้องไม่ถูกละเมิด เช่น ห้ามไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยอ้างเหตุ เช่น เชื้อชาติ ชาติพันธ์และสีผิว อันเป็นหมุดหมายสำคัญของการข้ามพ้นยุคแห่งการแบ่งแยกสีผิวของแอฟริกาใต้ ซึ่งการประกันหลักการดังกล่าวอาจเป็นนวัตกรรมที่ป้องกันผลลัพธ์รัฐธรรมนูญแบบ “ซ้ายจัด” หรือ “ขวาสุดโต่ง” ที่ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมดังที่เคยเกิดขึ้นแล้วในชิลี
  • กรอบเวลา – การกำหนดกรอบเวลาจำเป็นจะต้องคำนึงว่า กรอบเวลาที่กำหนดนั้นจะทำให้การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่มีประสิทธิภาพและมีเนื้อหาคุณภาพได้จริง กรณีของไอซ์แลนด์ เดิมกำหนดว่า ให้สมัชชาร่างรัฐธรรมนูญมีเวลาทำงาน 11 เดือน ภายหลังลดลงเหลือเพียงสี่เดือน แต่เพิ่มกลไกให้การทำงานในระยะเวลาอันสั้นเกิดขึ้นได้คือ การจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (Constitutional commission) และเวทีระดับชาติ (National forum) เพื่อเตรียมการทางข้อมูลและรวบรวมข้อเสนอจากประชาชน มีเป้าหมายสนับสนุนการทำงานสมัชชารัฐธรรมนูญที่มีอย่างจำกัดมีประสิทธิภาพและไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์
  • ผู้แทน – การกำหนดสัดส่วนของผู้แทนว่าจะประกันการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย กรณีของชิลี มีการกำหนดความเท่าเทียมทางเพศสำหรับรายชื่อของผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้ที่ได้รับเลือก พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครจะต้องเลือกผู้สมัครชายและหญิงในสัดส่วนที่เท่ากันในแต่ละเขตเลือกตั้ง ในกรณีที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตไม่ได้เลือกผู้ชายและผู้หญิงในจำนวนที่เท่ากัน ผู้ชนะที่เป็นผู้ชายที่ได้คะแนนน้อยที่สุดจะถูกแทนที่ด้วยผู้หญิงที่ได้คะแนนมากที่สุด  และการสำรองที่นั่งสำหรับชนพื้นเมือง 17 ที่นั่งจาก 155 ที่นั่ง ชนพื้นเมืองที่ได้รับการสำรองที่นั่งมีทั้งหมดสิบชาติพันธุ์ เช่น มาปูเช ราปานุย และอตากาเมโญ่
  • โครงสร้างอำนาจหน้าที่ – การกำหนดอาณัติของสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องให้มีความชัดเจนเพื่อป้องกันการตีความจนเกิดสุญญากาศทางการเมือง กรณีของไอซ์แลนด์ สภาร่างรัฐธรรมนูญ (Constitutional council) ที่เขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ใช่สมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ (Constitutional assembly) ที่กฎหมายวางไว้เดิม แต่สภาร่างรัฐธรรมนูญตีความว่า อาณัติของสภาร่างรัฐธรรมนูญยังเป็นไปตามกฎหมายเดิมและเป็นอิสระจากรัฐสภาไอซ์แลนด์ ขณะที่รัฐสภาไอซ์แลนด์ ไม่ให้ความชัดเจนว่า สภาร่างรัฐธรรมนูญมีสถานะเป็นเพียงคณะกรรมาธิการของรัฐสภาหรือเป็นองค์กรพิเศษที่มีบทบาทสาธารณะพิเศษ ซึ่งความไม่ชัดเจนดังกล่าวก็ส่งผลต่อการทำงานเวลาต่อมา
  • กระบวนการร่าง – การกำหนดการทำงานในกระบวนการร่างแต่ละขั้นตอนอย่างชัดเจนและการมีกลไกสนับสนุนที่ส่งเสริมทั้งในเชิงกระบวนการและเนื้อหามีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพของการทำงานเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ โดยแนวปฏิบัตินี้เห็นได้จากการทำงานในสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญของแอฟริกาใต้ มีการแต่งตั้งคณะกรรมการที่จะมีหน้าที่ต่างๆ กัน เช่น คณะกรรมการจัดการ (Management committee) จะช่วยจัดการเชิงกระบวนการให้สมัชชาร่างรัฐธรรมนูญสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบเวลาของกฎหมาย และคณะกรรมการรายประเด็น (Theme committee) ที่จะช่วยในเชิงเนื้อหา
  • ความโปร่งใส – แอฟริกาใต้ถือเป็นแม่แบบของแนวปฏิบัติที่ดีด้านความโปร่งใส โดยกำหนดไว้ในหลักการพื้นฐานของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญว่า การประชุมทั้งหมดของสมัชชารัฐธรรมนูญและโครงสร้างที่เกี่ยวข้องเปิดให้สาธารณชนเข้าถึงได้ สมัชชาร่างรัฐธรรมนูญเผยแพร่เอกสารทั้งหมดผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น รายงานการประชุม รายงาน และการเสนอความคิดเห็นต่างๆ ความโปร่งใสของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้รับการกล่าวยอมรับจากนักข่าวที่ติดตามเรื่องดังกล่าวว่า เวลานั้นไม่จำเป็นที่นักข่าวต้องทำสกู๊ปพิเศษเพราะทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเท่าเทียมกัน
  • การมีส่วนร่วมของสาธารณะ – กระบวนการปฏิรูปรัฐธรรมนูญของไอซ์แลนด์กลายเป็นแนวปฏิบัติที่ดีของการมีส่วนร่วมและรัฐเปิด (Open government) ตัวอย่างสำคัญคือ กระบวนการในสภาร่างรัฐธรรมนูญที่สร้างรัฐธรรมนูญแบบ Crowdsourcing ที่แรกของโลก  มีเป้าหมายที่รวบรวมความเห็นจากผู้คนผ่านช่องทางต่างๆ มีการโฆษณาผ่านสื่อเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนเรียนรู้การร่างรัฐธรรมนูญและส่งข้อเสนอแนะเข้ามา  สภาร่างรัฐธรรมนูญมีเจตจำนงในการดำเนินการประชุมอย่างเปิดเผยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีการถ่ายทอดสดการประชุมประจำสัปดาห์และเปิดเป็นสาธารณะ รวมถึงยังเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญบนเพจเฟซบุ๊กหรือโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่ประชาชนสามารถข้ามาให้ความเห็นได้ 
  • การสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ – กรณีของแอฟริกาใต้ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวกำหนดให้ผู้แทนที่ได้รับเลือกตั้งจะต้องจัดตั้งโครงสร้างเฉพาะสองรูปแบบเพื่อการร่างและการรับรองรัฐธรรมนูญใหม่ ได้แก่ สมัชชารัฐธรรมนูญและคณะทำงานอิสระของผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐธรรมนูญ และกรณีของไอซ์แลนด์ ที่มีการรับฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายเข้ามามีส่วนในหลายช่องทางทั้งระหว่างการทำงานของสภาร่างรัฐธรรมนูญและหลังจากที่สภาส่งร่างรัฐธรรมนูญใหม่แก่รัฐสภาไปแล้ว โดยรัฐสภาได้แสวงหาความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม รวมถึงมีการเชิญให้คณะกรรมการเวนิซ ซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษาของรัฐสภายุโรปมาให้ความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 
  • การรับรองหรือการบังคับใช้ – กำหนดกรอบกฎหมายสำหรับกระบวนการเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจน ไม่เปิดช่องให้เกิดการตีความที่นำสู่สุญญากาศทางการเมือง หรือเป็นผลให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาต้องสูญเปล่า กรณีของไอซ์แลนด์ หลังจากสภาร่างรัฐธรรมนูญส่งร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้แก่รัฐสภาแล้วเกิดสภาวะสุญญากาศ เนื่องจากมีคำถามของความผูกผันของรัฐสภากับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในแง่อำนาจของรัฐสภาในการดำเนินการต่อกับร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว และการนำร่างรัฐธรรมนูญไปทำประชามติเพื่อปรึกษาหารือ (Consultative referendum) ก็ไม่ได้ระบุล่วงหน้าว่า ควรตีความผลลัพธ์ของประชามติอย่างไร

บทเรียนจากประเทศชิลี ไอซ์แลนด์และแอฟริกาใต้ต่อแนวปฏิบัติที่ดีของกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่

เรื่องแนวปฏิบัติที่ดี
ความชอบธรรม– จัดการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญที่โปร่งใส- กำหนดหลักการตัดสินใจในขั้นตอนหรือประเด็นต่างๆที่ชัดเจน รัดกุมและได้รับฉันทามติจากทุกฝ่ายตั้งแต่เริ่มกระบวนการ- เปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมที่หลากหลายทั้งในเชิงผู้เข้าร่วม รูปแบบและช่วงเวลา
การประกันหลักการพื้นฐาน– แสวงหาฉันทามติที่นำมาสู่ข้อตกลงว่าด้วยกรอบของเนื้อหาที่จะไม่ละเมิดหลักการประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชน
กรอบเวลา– กำหนดกรอบเวลาการทำงานที่เป็นไปได้จริง- มีบทบัญญัติที่ยืดหยุ่นในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามกรอบเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงทางตันทางการเมือง
ผู้แทน– กำหนดสัดส่วนความเท่าเทียมทางเพศสภาพในกฎหมาย- ประกันการมีส่วนร่วมของคนชายขอบให้สามารถเข้าร่วมกระบวนการเขียนรัฐธรรมใหม่ได้ เช่น ที่นั่งสำรองสำหรับชนพื้นเมือง- กำหนดเกณฑ์การรับรองผู้สมัครที่ไม่สูงจนเป็นการปิดกั้นโอกาสของผู้ต้องการสมัคร
โครงสร้างและอำนาจหน้าที่– กำหนดอาณัติของสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ชัดเจน ไม่เปิดช่องให้ตีความจนนำสู่สุญญากาศทางการเมือง
กระบวนการร่าง– กำหนดการทำงานในกระบวนการร่างแต่ละขั้นตอนอย่างชัดเจน- มีกลไกสนับสนุนที่ส่งเสริมทั้งในเชิงกระบวนการและเนื้อหา
ความโปร่งใส– การบันทึกข้อมูลกระบวนการอย่างเป็นระบบและเผยแพร่ต่อสาธารณะ- เปิดให้การประชุมเป็นสาธารณะและถ่ายทอดสดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ
การมีส่วนร่วมของสาธารณะ– มีช่องทางการมีส่วนร่วมที่หลากหลายแก่พลเมืองทุกกลุ่ม- มีช่องทางการแสดงความคิดเห็นในหลากหลายแพลตฟอร์ม- กลไกการประนีประนอมความคิดเห็นจากทุกฝ่าย
การสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ-จัดตั้งกลไกอิสระสำหรับผู้เชี่ยวชาญภายนอกในการให้ความเห็นในประเด็นต่างๆ เช่น ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย- แสวงหาความเห็นเพิ่มเติมจากองค์กรระหว่างประเทศ
การรับรองหรือการบังคับใช้– กรอบกฎหมายสำหรับกระบวนการเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจน ไม่เปิดช่องให้เกิดการตีความที่นำสู่สุญญากาศทางการเมือง หรือเป็นผลให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาต้องสูญเปล่า

ชิลี : จากร่างซ้ายสุดสู่ขวาจัดที่ปิดประตูรัฐธรรมนูญใหม่ชั่วคราว

ปี 2019 รัฐบาลชิลีประกาศขึ้นค่าโดยสารสาธารณะนำไปสู่การชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ที่สั่นคลอนอำนาจรัฐบาล แม้รัฐบาลพยายามจะออกมาตรการเพื่อบรรเทาความกราดเกรี้ยวของประชาชนแต่มาตรการดังกล่าวน้อยและช้าเกินไป ชาวชิลีมองว่า การแก้ไขความไม่เป็นธรรมต้องแก้ที่การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ บทเรียนจากชิลีคือ พรรคการเมืองต่างแสดงเจตจำนงร่วมกันในการเปิดทางให้ประชาชนเลือกอนาคตประเทศ เปิดให้มีการออกเสียงประชามติกับคำถามสองข้อแยกกันอย่างชัดเจนคือ ต้องการรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ และหากต้องการสภาร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นแบบผสมหรือเลือกตั้งทั้งหมด ผลคือ ประชาชนต้องการรัฐธรรมนูญใหม่และสภาร่างรัฐธรรมนูญจากการเลือกตั้งทั้งหมด 

แม้ว่าหนทางการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญใหม่ของชิลีจะยากลำบากและยังไม่สำเร็จ แต่การผลักดันให้เกิดกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่สะท้อนให้เห็นถึงแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างทาง ได้แก่ การกำหนดสัดส่วนความเท่าเทียมทางเพศสภาพในกฎหมายและประกันการมีส่วนร่วมของคนชายขอบให้สามารถเข้าร่วมกระบวนการเขียนรัฐธรรมใหม่ได้ เช่น ที่นั่งสำรองสำหรับชนพื้นเมือง

ย้อนรอยรัฐธรรมนูญชิลีสามฉบับ พ้นเงาอาณานิคมสู่ใต้เผด็จการ

 ชิลีมีรัฐธรรมนูญมาแล้วสามฉบับ ฉบับแรกคือ รัฐธรรมนูญปี 1833 หลังจากได้รับเอกราชจากสเปนในปี 1818 ตามด้วยช่วงเวลาที่แทบจะไร้กรอบเกณฑ์ ต่อมาในปี 1829 กลุ่มที่นำโดยดิเอโก ปอร์ตาเลส (Diego Portales) ได้ยึดครองอำนาจและเขียนรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่บังคับใช้ยาวนานที่สุดของประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับปอร์ตาเลสสร้างรัฐบาลกลางที่เข้มแข็งโดยมีฝ่ายบริหารเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ปี 1891 เกิดการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจระหว่างหน่วยงานต่างๆ ยกระดับขึ้นเป็นสงครามกลางเมืองช่วงสั้น ๆ ที่ผู้ชนะคือ ฝ่ายรัฐสภาและนำสู่เส้นทางระบอบสาธารณรัฐแบบรัฐสภา

 ปี 1925 ชิลีมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในช่วงที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคงและความไม่พอใจที่เติบโตขึ้นจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและเหตุการณ์อื่นๆ เช่น การล่มสลายของการส่งออกไนเตรต การเกิดขึ้นของอุดมการณ์ทางการเมืองแบบใหม่และการขยายตัวของขบวนการแรงงาน ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาถูกทำลายความน่าเชื่อถือด้วยความคิดที่ว่า ผู้แทนในรัฐสภาเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมและชนชั้นนำที่คอร์รัปชั่นอันอยู่ตรงกันข้ามกับการปฏิรูปสังคมและไม่ตอบสนองต่อปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น เนื้อหาของรัฐธรรมนูญปี 1925 ยังคงยึดตามแนวทางเสรีนิยมแบบคลาสสิกและประชาธิปไตยแบบรัฐธรรมนูญฉบับปี 1833 ทำให้ยังคงความต่อเนื่องทางสถาบันระหว่างรัฐธรรมนูญสองฉบับแรก ในขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญปี 1925 มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ เช่น การแยกรัฐและศาสนจักรออกจากกัน การรับรองสิทธิการรวมตัวของแรงงาน และคำมั่นในการดูแลสวัสดิการสังคมของพลเมืองทุกคน 

ในช่วงการปฏิวัติของคิวบาในปี 1959 การเมืองในชิลีเริ่มแยกขั้วระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา พรรคการเมืองสายกลางไม่สามารถเป็นตัวกลางในข้อตกลงหรือการประนีประนอมได้อีก ซึ่งก่อนหน้านี้มีส่วนช่วยให้การเมืองชิลีดำเนินไปราบรื่น สถานการณ์ดำเนินมาจนถึงจุดวิกฤตในช่วงประธานาธิบดีซัลวาดอร์ อเยนเด (Salvador Allende) ปี 1973 ผลการเลือกตั้งไม่ชี้ขาดนำสู่การขยายตัวของการเผชิญหน้าและมีการชุมนุมที่รุนแรง เดือนกันยายน 1973 คณะรัฐประหารนำโดยออกุสโต ปิโนเชต์ (Augusto Pinochet) ล้มล้างอำนาจประธานาธิบดีอเยนเด โดยกล่าวหาว่า มีการละเมิดรัฐธรรมนูญและปกครองด้วยระบอบทหาร ไม่กี่วันหลังการรัฐประหารคณะรัฐประหารแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ทหาร

 รัฐธรรมนูญปี 1980 เป็นรัฐธรรมนูญแบบคู่ (Dual constitution) ประกอบไปด้วยมาตราชั่วคราวสำหรับการเปลี่ยนผ่านและมาตราถาวร มาตราชั่วคราวสำหรับการเปลี่ยนผ่านจะใช้ในช่วงการปกครองของทหารที่ปิโนเชต์เป็นประธานาธิบดีและรัฐบาลทหารมีอำนาจทางนิติบัญญัติ ส่วนมาตราถาวรมีไว้เพื่อสร้างประชาธิปไตยเชิงคุ้มครอง (A protected democracy) ผ่านการกำหนดบทบาทถาวรของทหาร และการห้ามบุคคล พรรค และขบวนการที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า มีมุมมองและวัตถุประสงค์เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยตามมาตรา 80   (A prohibition upon persons, parties and movements whose views and objectives were judged by the Constitutional Tribunal to be hostile to democracy)

ตามรัฐธรรมนูญปี 1980 ระบุว่า ก่อนการสิ้นสุดวาระแปดปีของรัฐบาลทหาร ผู้บัญชาการเหล่าทัพจะต้องเสนอชื่อคนที่จะเป็นประธานาธิบดีในอีกแปดปีถัดไป ซึ่งจะต้องได้รับการรับรองโดยประชามติ วันที่ 30 สิงหาคม 1988 ปิโนเชต์ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นแคนดิเดตประธานาธิบดี ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันฝ่ายค้านของชิลียอมรับว่า การจะโค่นล้มระบอบปิโนเชต์ได้ไม่ใช่การปฏิวัติของประชาชนหรือกองกำลัง แต่เป็นการท้าทายภายในระบบรัฐธรรมนูญที่ทหารได้เขียนขึ้นมา มีการก่อตั้งกลุ่มกอนเซรตาซิออน (Concertación) การเรียกร้องให้ออกเสียงไม่เห็นชอบต่อคำถามประชามติที่เสนอชื่อปิโนเชต์ให้เป็นประธานาธิบดีในปี 1988 กอนเซรตาซิออนมีการรณรงค์การลงทะเบียนผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง การเผยแพร่จุดยืนและการสังเกตการณ์การลงคะแนน นำสู่ความพ่ายแพ้ของปิโนเชต์และตามด้วยการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 1989

รัฐธรรมนูญที่ชอบธรรมจากเนื้อในประชาธิปไตยไม่ใช่เผด็จการ

 ช่วงระหว่างการออกเสียงประชามติและการเลือกตั้งประธานาธิบดี มีการต่อรองสามฝ่ายเพื่อปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ได้แก่ รัฐบาลทหาร พรรคการเมืองปีกขวากลางที่สนับสนุนรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านปีกซ้ายกลาง  การพูดคุยดังกล่าวไม่ได้เปิดให้มีส่วนร่วมหรือพูดคุยสาธารณะ โดยการพูดคุยบรรลุข้อตกลงในวันที่ 30 กรกฎาคม 1989 ซึ่งสะท้อนการประนีประนอมจากฝ่ายค้านมากกว่าการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญที่ครอบคลุมในวงกว้าง เช่น การยกเลิกมาตรา 80 การเปลี่ยนแปลงกลไกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การยกเลิกอำนาจของประธานาธิบดีในการยุบสภาผู้แทนราษฎร และการลดอำนาจประธานาธิบดีในการประกาศภาวะฉุกเฉิน ในแง่นี้การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของชิลีเป็นการเปลี่ยนผ่านด้วยข้อตกลง (Transición pactada) ไม่ใช่การตัดขาดจากระบอบเดิม (Transición por ruptura)

ตั้งแต่ปี 1989 เป็นต้นมารัฐบาลชิลีมีความพยายามในการปฏิรูปรัฐธรรมนูญเรื่อยมา ปี 2005 นับเป็นก้าวสำคัญของประชาธิปไตยชิลี มีการลดวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีจากหกปีเหลือสี่ปี ลดอำนาจทหารในการเมือง ยกเลิกที่นั่งวุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง และให้อำนาจประธานาธิบดีในการปลดผู้บัญชาการเหล่าทัพและตำรวจแห่งชาติ ในปี 2013 มิเชล บาเชเลต์ (Michelle Bachelet) จากพรรคสังคมนิยม ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง การรณรงค์หาเสียงของเธอสัญญาว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ตราขึ้นในช่วงเผด็จการปิโนเชต์ โดยโต้แย้งว่าชิลีต้องการ “รัฐธรรมนูญที่เกิดในประชาธิปไตย [เพราะฉบับปัจจุบัน] ขาดความชอบธรรม” 

ความไม่เป็นธรรมยังดำเนินต่อ ทางออกเดียวคือเขียนรัฐธรรมนูญใหม่

เดือนมีนาคม 2018 เซบาสเตียน ปิเญรา (Sebastián Piñera) รับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากบาเชเลต์ และในเดือนตุลาคม 2019 ชิลีมีการประท้วงครั้งใหญ่ จุดเริ่มต้นมาจากการขึ้นราคาค่าโดยสารรถสาธารณะของปิเญรา ทำให้บรรดานักเรียน แรงงาน กลุ่มเฟมินิสต์ ชนพื้นเมืองและประชาชนรวมตัวประท้วง ทั้งนี้การขึ้นราคาค่าขนส่งสาธารณะเป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะปัจจัยผลักดันให้เกิดการชุมนุมยังมีรากฐานมาจากความไม่พอใจอื่นๆ ที่สั่งสมมากว่าสองทศวรรษ ไม่เพียงแค่ค่าโดยสารแต่ยังรวมถึงระบบการเมืองและเศรษฐกิจที่พวกเขามองว่า ไม่เป็นธรรมและไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ขณะที่การชุมนุมจำนวนมากเป็นไปโดยสงบ แต่บางส่วนก็มีการทำลายทรัพย์สินเอกชนและสาธารณะ ตำรวจรับมือด้วยความรุนแรงนำสู่ข้อกล่าวหาว่าด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการซ้อมทรมาน รัฐบาลสั่งการให้ทหารออกมาลาดตระเวนตามท้องถนนและมีการประกาศเคอร์ฟิวเป็นครั้งแรกนับแต่การปกครองของปิโนเชต์

ผู้ชุมนุมถือธงชาติชิลีและป้ายข้อความว่า “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เดี๋ยวนี้” ( Nueva constitución now!)
ที่มา : www.jpereira.net | Creative Commons

การประท้วงยังคงดำเนินไปและยังมีข้อเรียกร้องให้ปิเญราลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี  ต่อมาปิเญราทำตามข้อเรียกร้องบางข้อของผู้ชุมนุม รัฐบาลเพิ่มการจ่ายเงินบำนาญและค่าแรงขั้นต่ำ ระงับการขึ้นค่าโดยสารสาธารณะ ลดราคายาและไฟฟ้า เพิ่มอัตราภาษีของผู้มั่งคั่งและลดเงินเดือนสมาชิกรัฐสภา แต่ทั้งหมดเป็นการปฏิรูปที่น้อยเกินไปและสายเกินไป ผู้ชุมนุมได้เรียกร้องไปไกลถึงการยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 1980 ที่สำหรับหลายคนรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นสัญลักษณ์ของอิทธิพลทางการเมืองและนโยบายที่ยังมีลมหายใจของปิโนเชต์ ท้ายที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2019 รัฐบาลปิเญราเห็นชอบในกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยตระหนักดีว่า เป็นเพียงทางออกเดียวที่จะทำให้ประเทศสงบลงได้

15 พฤศจิกายน 2019 ผู้แทนรัฐสภาจากทุกพรรคการเมือง ยกเว้นพรรคคอมมิวนิสต์ได้ลงนามในข้อตกลงนำสู่ทางออกเชิงสถาบันที่มีเป้าหมายเพื่อให้บรรลุสันติภาพและความยุติธรรมทางสังคมผ่านกระบวนการประชาธิปไตยที่ปราศจากข้อโต้แย้ง รายละเอียดในข้อตกลงโดยสรุประบุว่า พรรคการเมืองที่ลงนามในข้อตกลงนี้ให้คำมั่นที่จะฟื้นฟูสันติภาพและความสงบเรียบร้อยในชิลี โดยเคารพสิทธิมนุษยชนและสถาบันประชาธิปไตย จะมีการจัดประชามติในเดือนเมษายน 2020 โดยมีคำถามสองข้อคือ 

  1. คุณต้องการรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่? ใช่หรือไม่ใช่ (Do you want a new Constitution? Yes or no)
  2. องค์กรประเภทใดควรดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่? สภาร่างรัฐธรรมนูญแบบผสมหรือสภาร่างรัฐธรรมนูญ (What type of body should carry out the elaboration of a new Constitution? A mixed constitutional convention or a constitutional convention.)

สภาร่างรัฐธรรมนูญแบบผสมจะประกอบด้วยตัวแทนที่ได้รับเลือกเข้าสภาและสมาชิกรัฐสภาที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันในสัดส่วนที่เท่ากัน หากเลือกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ตัวแทนทั้งหมดจะต้องมาจากการเลือกตั้ง โดยการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญจะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2020 พร้อมกับการเลือกตั้งระดับภูมิภาค องค์กรร่างรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเลือกจะมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่เท่านั้น จะไม่ก้าวก่ายอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานหรือสาขาอื่นของรัฐบาล และจะถูกยุบเมื่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้น โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญมีกรอบการทำงานไม่เกินเก้าเดือน ขยายเวลาได้หนึ่งครั้งไม่เกินสามเดือน การลงประชามติจะจัดขึ้นภายในหกสิบวันหลังจากสภาร่างรัฐธรรมนูญเสนอร่างรัฐธรรมนูญใหม่

เสียงเห็นด้วยเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ท่วมท้น สู้ต่อเรื่องสัดส่วนสสร.

เดือนตุลาคม 2020 ชิลีจัดการออกเสียงประชามติครั้งแรกเพื่อเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนที่ฉบับปิโนเชต์ ผู้ออกเสียงร้อยละ 78 เห็นชอบกับการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่และร้อยละ 79 เลือกให้กระบวนการร่างทำโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด 100% ก่อนหน้าการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ คณะกรรมาธิการสภามีการอภิปรายถึงเรื่องความเท่าเทียมทางเพศและตัวแทนของชนพื้นเมือง ข้อเรียกร้องของทั้งสองกลุ่มมีส่วนสำคัญในการกำหนดรูปแบบของสภาร่างรัฐธรรมนูญ รัฐสภาเห็นชอบในการกำหนดความเท่าเทียมทางเพศสำหรับรายชื่อของผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้ที่ได้รับเลือก พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครจะต้องเลือกผู้สมัครชายและหญิงในสัดส่วนที่เท่ากันในแต่ละเขตเลือกตั้ง ในกรณีที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตไม่ได้เลือกผู้ชายและผู้หญิงในจำนวนที่เท่ากัน ผู้ชนะที่เป็นผู้ชายที่ได้คะแนนน้อยที่สุดจะถูกแทนที่ด้วยผู้หญิงที่ได้คะแนนมากที่สุด

บัตรออกเสียงประชามติภายในหน่วยออกเสียงที่มหาวิทยาลัยปอนติฟิเซีย
ที่มา : Pontificia Universidad Católica de Chile | Creative Commons

การสำรองที่นั่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญสำหรับชนพื้นเมืองเป็นที่ถกเถียงอย่างมาก พรรคสหภาพประชาธิปไตยเสรี (Union Demócrata Independiente) เป็นพรรคการเมืองที่คัดค้านการสำรองที่นั่งสำหรับชนพื้นเมืองมากที่สุด เชื่อว่า ที่นั่งสำรองหมายถึงการเลือกปฏิบัติเชิงบวก (Positive discrimination) และจะให้อำนาจตัดสินใจมากเกินไปแก่ผู้นำชนพื้นเมือง มีข้อเสนอในเรื่องสัดส่วนที่นั่งของชนพื้นเมือง เช่น การเพิ่มที่นั่งอีก 24 ที่นั่งตามสัดส่วนประชากรของชนพื้นเมือง ท้ายที่สุดมีการสำรองที่นั่งสำหรับชนพื้นเมือง 17 ที่นั่งจาก 155 ที่นั่ง ชนพื้นเมืองที่ได้รับการสำรองที่นั่งมีทั้งหมดสิบชาติพันธุ์ เช่น มาปูเช ราปานุยและอตากาเมโญ่ ผู้ที่ต้องการลงคะแนนเสียงเลือกตัวแทนชนพื้นเมืองมีเวลา 45 วันในการระบุตัวตนว่าเป็นชนพื้นเมือง การเลือกตั้งตัวแทนจะใช้ระบบเสียงข้างมากธรรมดา และผู้สมัครต้องได้รับการสนับสนุนจากองค์กรสามแห่ง หรือโดยการรวบรวมลายเซ็น 120 รายชื่อเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นชนพื้นเมือง

เดือนพฤษภาคม 2021 มีการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ นอกจาก 17 ที่นั่งที่สำรองไว้สำหรับชนพื้นเมืองแล้วยังมีส่วนที่เหลือ 138 คนใน 28 เขตเลือกตั้ง แต่ละเขตมีที่นั่งตั้งแต่สามถึงแปดที่นั่งด้วยระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อเปิด สำหรับเขตที่มีประชากรชนพื้นเมืองมากที่สุดตามการสำรวจประชากรครั้งล่าสุดและมีที่นั่งมากกว่าสามที่นั่ง จะถูกลดลงหนึ่งที่นั่งเพื่อจัดสรรที่นั่งสำรองสำหรับชนพื้นเมือง ผู้สมัครต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไปและไม่เคยถูกตัดสินว่ากระทำความผิดอาญาร้ายแรงมาก่อน ผู้สมัครจะต้องได้รับการเสนอชื่อโดยพรรคการเมืองหรือพันธมิตรของพรรคการเมือง หรือในกรณีของผู้สมัครอิสระ พวกเขาสามารถเข้าร่วมในฐานะผู้สมัครอิสระโดยมีเงื่อนไขในการรับรอง เช่น ต้องรวบรวมลายเซ็นของพลเมืองอิสระอื่นๆ เท่ากับร้อยละ 0.2 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งรัฐสภาครั้งล่าสุด 

ผลการเลือกตั้งผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาส่วนมากเป็นผู้นำฝ่ายซ้ายและฝ่ายอิสระ จากจำนวนสมาชิกสภาทั้งหมด ร้อยละ 80 เป็นคนหน้าใหม่ในการเมืองแบบเลือกตั้ง โดยมีเอลิชา ลอนกอน (Elisa Loncón) ชาวมาปูเชเป็นประธาน ถือเป็นสัญลักษณ์ของการหวนคืนความเป็นพลเมืองที่หลากหลายมากขึ้น และเป็นการยอมรับชนพื้นเมืองครั้งประวัติศาสตร์ในฐานะคู่สนทนาทางการเมืองที่ชอบธรรม

เอลิชา ลอนกอน ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญชาวมาปูเช
ที่มา : Pontificia Universidad Católica de Chile | Creative Commons

ปัดตกร่างแรกมอง “ซ้าย” เกินไป เลือกสสร.รอบสอง ฝ่ายขวาครองที่นั่ง

เดือนกันยายน 2022 ชาวชิลีออกเสียงไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ร้อยละ 62 เนื่องจากเนื้อหาที่มีลักษณะ “ซ้าย” เกินไป อีกด้านหนึ่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ได้สะท้อนถึงความยากลำบากในการจัดสรรเวลาและการสื่อสารเจรจาที่มีความหมาย เนื่องจากข้อตกลงกำหนดไว้ว่า สภาร่างรัฐธรรมนูญมีวาระเก้าเดือน ต่ออายุได้หนึ่งครั้งคือไม่เกินสามเดือน รวมเวลาแล้วหนึ่งปี เขาระบุว่า ภารกิจดังกล่าวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เขาต้องการเวลามากกว่านี้ นอกจากนี้ระยะเวลาที่จำกัดทำให้เขาไม่มีโอกาสในการกลับไปสื่อสารกับผู้คนในเขตเลือกตั้งของเขา

หลังการปัดตกร่างรัฐธรรมนูญในปี 2022 พรรคการเมืองหลักเห็นชอบในกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ 24 คน สมาชิกจะถูกเลือกโดยพรรคการเมืองที่เป็นผู้แทนในสภา คณะกรรมาธิการผู้เชี่ยวชาญจะจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับเบื้องต้น ซึ่งร่างจะถูกพิจารณาโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งด้วยระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนแบบโดนต์ (D’Hondt method) โดยมีบัญชีรายชื่อแบบเปิด (Open list) การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีที่นั่งสำรองสำหรับชนพื้นเมือง โดยจะอิงตามร้อยละของคะแนนเสียง ไม่ใช่ตามจำนวนที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตามกลุ่มชาติพันธุ์เหมือนครั้งก่อน นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ โดยรายชื่อที่พรรคเสนอต้องสลับระหว่างผู้สมัครชายและหญิง พร้อมมาตรการปรับแก้หากผลการเลือกตั้งทำให้เกิดความไม่สมดุล ทั้งนี้สภาร่างรัฐธรรมนูญจะต้องประกอบด้วยผู้ชาย 25 คนและผู้หญิง 25 คน

ผู้ชุมนุมถือป้ายข้อความว่า En contra หรือไม่เห็นชอบ ที่มา : Wikimedia commons | Creative Commons

ผลการเลือกตั้งทำให้สภาดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคการเมืองฝ่ายขวา โดยพรรคริพลับลิกันได้รับเลือก 23 จาก 51 ที่นั่ง (พรรคการเมืองนี้ไม่ได้มีความต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่แรก) ขณะที่พรรคแนวร่วมฝ่ายขวาของชิลีได้ 11 ที่นั่ง ทำให้ฝ่ายขวาสามารถยึดครองสภาได้อย่างเบ็ดเสร็จ สามารถแก้ไขและเปลี่ยนแปลงเนื้อหาได้เนื่องจากมีเสียงเห็นชอบมากกว่าสามในห้า ชัยชนะของพรรคฝ่ายขวานำสู่ความกังวลในสิทธิที่ถดถอยอย่างการทำแท้ง โดยลูอิส ซิลบา (Luis silva) ผู้แทนจากพรรคริพลับลิกันระบุว่า พรรคจะไม่เปิดทางให้มีการประกันสิทธิการทำแท้งในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในชิลีการทำแท้งสามารถทำได้ระหว่างปี 1930-1989 หากในช่วงปลายของการปกครองปิโนเชต์การทำแท้งถูกเปลี่ยนให้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย จากนั้นในปี 2017 ภายใต้รัฐบาลบาเชเลต์ การทำแท้งกลับมาถูกกฎหมายอีกครั้งภายใต้สามเงื่อนไขคือ ชีวิตแม่ตกอยู่ในความเสี่ยง ทารกไม่สามารถอยู่รอดได้ หรือการตั้งครรภ์เป็นผลมาจากการข่มขืน 

ประเด็นการทำแท้งในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีการเปลี่ยนแปลงคำจากรัฐธรรมนูญปี 1980 คือ คุ้มครอง “ชีวิตของผู้ที่จะเกิดมา – life of who is to be born” จากเดิมที่คุ้มครอง “ชีวิตที่จะเกิดมา- life of that is to be born” การเปลี่ยนแปลงคำเพียงเล็กน้อยส่งผลต่อการตีความทางกฎหมายทำให้การทำแท้งยากขึ้นเนื่องจากเป็นการย้ำสถานะบุคคลของตัวอ่อน (Feotus) นอกจากนี้ร่างดังกล่าวยังให้สถาบันต่างๆ มีสิทธิคัดค้านกฎหมายที่มีอยู่ตามค่านิยมทางศาสนาของตน ซึ่งอาจส่งผลต่อการจัดหาและความพร้อมของยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน และการทำแท้งที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย

ท้ายที่สุดวันที่ 17 ตุลาคม 2023 มีการจัดประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่สอง ชาวชิลีออกเสียงไม่เห็นชอบมากกว่าร้อยละ 55 กาเบรียล โบริก (Gabriel Boric) ประธานาธิบดีระบุว่า รัฐบาลของเขาจะไม่ดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญเป็นครั้งที่สาม และจะมุ่งหน้าดำเนินการปฏิรูประบบบำนาญและภาษี


ไอซ์แลนด์ : เสียงจากท้องถนนสู่รัฐธรรมนูญใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วม

หลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2008 ไอซ์แลนด์เผชิญกับการปฏิวัติหม้อและกระทะ (Pots and Pans Revolution) และตามด้วยข้อเรียกร้องในการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ กระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ของไอซ์แลนด์เกิดขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกใช้การเลือกตั้งสมัชชารัฐธรรมนูญแบบ 100% แต่ร่างรัฐธรรมนูญตกไป ในกระบวนการครั้งที่สอง เป็นการแต่งตั้งตัวแทนจากพรรคการเมืองในรัฐสภามาเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งต้องยุติลงสืบเนื่องจากการเผยแพร่ “Panama papers” อันเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการเลี่ยงภาษีของนักการเมือง เป็นผลให้มีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่

รัฐธรรมนูญปลดแอกจาก ‘เจ้า’ เดนมาร์กเป็นระบอบสาธารณรัฐ

1 ธันวาคม 1918 มีการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างเดนมาร์กและไอซ์แลนด์ มีผลบังคับใช้ 25 ปี โดยยอมรับไอซ์แลนด์ในฐานะรัฐอธิปไตยและเอกราชอย่างสมบูรณ์ แต่ยังคงสหภาพส่วนพระองค์(Personal union) คือทั้งสองรัฐมีกษัตริย์องค์เดียวกัน แต่เขตแดน กฎหมายและผลประโยชน์ของแต่ละรัฐแยกจากกัน ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 1940 Hermann Jónasson นายกรัฐมนตรีของไอซ์แลนด์ขอให้คณะกรรมการที่ประกอบไปด้วยผู้พิพากษาศาลฎีกาสามคนร่างรัฐธรรมนูญไว้ในกรณีที่ไอซ์แลนด์ถูกตัดขาดจากเดนมาร์กอันเป็นผลจากสงคราม Bjarni Benediktsson หนึ่งในคณะกรรมการซึ่งเห็นการเรืองอำนาจของฮิตเลอร์ในเยอรมนีตระหนักถึงความสำคัญของรัฐธรรมนูญในการเป็นหลักประกันแก่ประชาธิปไตย ร่างของคณะกรรมการร่างแรกกลายเป็นแม่แบบสำคัญของรัฐธรรมนูญปี 1944 

9 เมษายน 1940 เยอรมนีบุกเดนมาร์กเป็นผลให้ไอซ์แลนด์ขาดการติดต่อกับราชวงศ์เดนมาร์ก คืนถัดมารัฐสภาไอซ์แลนด์ประกาศว่า รัฐบาลไอซ์แลนด์จะรับหน้าที่ของกษัตริย์เดนมาร์กไว้ชั่วคราวและควบคุมการต่างประเทศและเรื่องอื่นๆ ที่เดนมาร์กเคยจัดการแทนในฐานะไอซ์แลนด์  วันที่ 16 ธันวาคม 1942 ไอซ์แลนด์ออกพ.ร.บ.ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (The Constitutional Amendment Act) เปิดทางให้ออกเสียงประชามติเพื่อรับรองร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ ต่อมาระหว่างวันที่ 20-23 พฤษภาคม 1944 ไอซ์แลนด์จัดประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่มีผู้มาออกเสียงร้อยละ 98.61 และเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ร้อยละ 95.04 นอกจากนี้ประชามติสี่วันยังมีการยกเลิกสนธิสัญญาระหว่างเดนมาร์กและไอซ์แลนด์ และเปลี่ยนผ่านประเทศเป็นระบอบสาธารณรัฐ

รัฐธรรมนูญปี 1944 มีเจตจำนงในการตัดสายสัมพันธ์ที่เหลืออยู่กับเดนมาร์กทั้งหมด มากกว่าการมุ่งเน้นอนาคต ดังนั้นรัฐธรรมนูญปี 1944 จึงเปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญฉบับเบื้องต้น (Preliminary one) และมีลักษณะเหมือนกับเสื้อผ้าที่ถูกปะชุน อย่างไรก็ตามความพยายามในการแทนที่ด้วยรัฐธรรมนูญใหม่ล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง ระหว่างปี 1945-1972 รัฐสภาไอซ์แลนด์แต่งตั้งคณะกรรมการหลายคณะเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ในปี 1983 Gunnar Thoroddsen นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสนอร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามพรรคการเมืองของ Thoroddsen แพ้การเลือกตั้งในปี 1983 ทำให้ร่างดังกล่าวตกไป

แม้จะไม่มีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ หากที่ผ่านมาไอซ์แลนด์มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายประเด็นมาแล้วเจ็ดครั้ง เกิดขึ้นระหว่างปี 1959-1999 โดยการแก้ไขมีประเด็น เช่น การปรับลดอายุผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจาก 21 เป็น 20 ปี การปรับปรุงให้รัฐธรรมนูญไอซ์แลนด์สอดคล้องกับคำมั่นของไอซ์แลนด์ต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากลและระบบการเลือกตั้ง

ปฏิวัติหม้อ-กระทะ จากปัญหาเศรษฐกิจสู่รัฐธรรมนูญใหม่

ในปี 2008 นักลงทุนต่างชาติหนีออกจากตลาดพันธบัตรของไอซ์แลนด์ นำสู่การล่มสลายของธนาคารเพื่อการลงทุนระหว่างประเทศจำนวนมาก อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตกลงร้อยละ 70 และตลาดหุ้นในประเทศสูญเสียมูลค่าร้อยละ 90 รัฐบาลกลางเข้าควบคุมธนาคารเอกชนขนาดใหญ่สามแห่งที่มีหนี้สินรวมกันมากกว่า GDP ของประเทศสิบเท่า ต่อมามีการประกาศว่า เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในสภาวะล้มละลาย ไอซ์แลนด์ได้รับการช่วยเหลือจากประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย แต่ก็ตามด้วยมาตรการรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจหลายระลอก

ระหว่างวิกฤตเศรษฐกิจ สภาวะผู้นำทางการเมืองมีความอ่อนแอ ไม่มีพรรคการเมืองใดถือครองเสียงข้างมากในสภา ซึ่งเป็นเรื่องทั่วไปของไอซ์แลนด์ที่ปกครองด้วยรัฐบาลผสม ในช่วงดังกล่าวความโกรธของสาธารณชนมุ่งไปที่พรรครัฐบาล ความผิดหวังต่อระบบที่มีผลให้เกิดวิฤตเศรษฐกิจสะท้อนผ่านการประท้วงของประชาชน มีการใช้เครื่องครัวอย่างหม้อและกระทะมาตีแสดงออกจนจุดกระแสการปฏิวัติหม้อและกระทะ (Pots and Pans Revolution) การประท้วงครั้งนี้สะท้อนวิกฤตความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งระหว่างชาวไอซ์แลนด์และนักการเมือง โดยการเคลื่อนไหวช่วงแรกผู้ชุมนุมเรียกร้องการลาออกของเหล่านายธนาคารรวมไปถึงรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่นำไอซ์แลนด์มาสู่สถานการณ์เศรษฐกิจที่เลวร้ายเช่นนี้

เดือนธันวาคม 2008 เริ่มมีข้อเรียกร้องว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งทั่วไปก่อนครบวาระ ขณะที่ Njörður P. Njarðvik เป็นคนแรกที่เสนอให้มีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ (Full revision) ผ่านการสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2009 นอกจากนี้ยังมีการเรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จากขบวนการประชาชนอื่นๆ เช่น กลุ่มเสียงของประชาชน (Raddir fólksins) ที่น่าจะเป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่มีอิทธิพลมากที่สุดที่เกิดขึ้นระหว่างการประท้วง กลุ่มดังกล่าวระบุว่า เจตจำนงของชาวไอซ์แลนด์คือ การสร้างสาธารณรัฐใหม่ด้วยการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่และเปลี่ยนกฎเกณฑ์ทางการเมือง ( “Will of the Icelandic People is to rebuild the Republic by writing a new Constitution and changing the rules of politics.”)

4 มีนาคม 2009 กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการภายใต้การนำของJóhanna Sigurðardóttir นายกรัฐมนตรีรักษาการ มีการเสนอร่างรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้มีสมัชชารัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ทำให้อำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่อยู่ในมือของสภาอีกต่อไป แทนที่โดยองค์กรร่างรัฐธรรมนูญและชาวไอซ์แลนด์ ซึ่งรัฐสภาจะทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ให้คำปรึกษาเท่านั้น

ออกกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ฟื้นความเชื่อมั่นทางการเมือง

เดิมทีกระบวนการเดิมของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไอซ์แลนด์เป็นไปตามมาตรา 79(1) ของรัฐธรรมนูญ 1944 กำหนดไว้ว่า ร่างที่แก้ไขหรือทำการเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนี้อาจเสนอในการประชุมสภาสมัยสามัญหรือวิสามัญ ถ้าร่างได้รับการรับรอง จะมีการยุบสภาในทันทีและหากรัฐสภาใหม่ผ่านร่างดังกล่าวโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง จะต้องตามด้วยการรับรองจากประธานาธิบดีและมีผลบังคับใช้ในฐานะกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่มีการผ่านร่างแก้ไขสถานะของศาสนจักรภายใต้มาตรา 62 จะต้องนำไปให้ผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดออกเสียงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเป็นการลับ

เห็นได้ว่า มาตราดังกล่าวประกอบด้วยการรับรองการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ไม่ใช่ข้อยกเว้นตามวรรคท้ายในสองการรับรองเป็นการกระทำทางอ้อมผ่านการเลือกตั้งทั่วไป เป็นกระบวนการที่เคยใช้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในอดีตทั้งหมดเจ็ดครั้ง ซึ่งในทางตรงข้ามหากผู้ออกเสียงไม่เลือกผู้แทนรัฐสภาที่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว กระบวนการแก้ไขหรือปฏิรูปรัฐธรรมนูญก็เป็นอันยุติไป ทั้งนี้บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้ระบุว่า ร่างแก้ไขหรือเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะต้องผ่านกระบวนการประชามติหรือต้องการเสียงในสัดส่วนพิเศษในสภาเพื่อรับรองร่างรัฐธรรมนูญก่อนและหลังการเลือกตั้ง

หลังวิกฤตเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อข้อเรียกร้องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่นำสู่การตรากฎหมายสองฉบับอันนำสู่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบใหม่ ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการสร้างความเชื่อมั่นขึ้นมาใหม่ ได้แก่ พ.ร.บ. 90/2010 ว่าด้วยสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ (Act 90/2010 on the Constitutional Assembly)  และพ.ร.ป. 91/2013 ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐ (Constitutional Act 91/2013 Amending the Constitution of the Republic)

  • พ.ร.บ. 90/2010 ว่าด้วยสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ (Act 90/2010 on the Constitutional Assembly)

กฎหมายฉบับนี้มุ่งเน้นที่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่ใช้สมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นองค์กรพิเศษนอกรัฐสภา สมาชิกจะต้องได้รับการเลือกตั้งทางตรงผ่านระบบการเลือกตั้งแบบถ่ายโอนคะแนนเสียง (Single transferable vote) คือผู้ออกเสียงสามารถเลือกผู้สมัครได้หลายคน ซึ่งเป็นระบบเลือกตั้งที่ไม่เคยใช้มาก่อนในไอซ์แลนด์ มาตรา 6 กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามบุคคล เช่น ประธานาธิบดีไอซ์แลนด์ สมาชิกรัฐสภา รัฐมนตรี และสมาชิกคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง กรอบการร่างรัฐธรรมนูญมีอยู่สามส่วน ได้แก่ หนึ่ง มาตรา 3 กำหนดแปดประเด็นที่สภาจะต้องพิจารณาเป็นพิเศษและมีการระบุด้วยว่า สมัชชาอาจตัดสินใจในการพิจารณาประเด็นอื่นๆ ที่นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในวรรคแรก สอง กำหนดให้มีเวทีระดับชาติ (National forum) ที่ประกอบด้วยประชาชนที่ถูกสุ่มมาประมาณ 1,000 คนเสนอแนวทางการแก้ไข สาม กำหนดให้มีคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (Constitutional Commission) ที่มีสมาชิกเจ็ดคนในการจัดให้มีเวทีและกระบวนการการเก็บข้อมูลในเวทีระดับชาติ และรวบรวมส่งให้สมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ

  • พ.ร.ป. 91/2013 ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐ (Constitutional Act 91/2013 Amending the Constitution of the Republic)

กฎหมายฉบับนี้ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2013 เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 1944 เป็นการชั่วคราวโดยให้มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 30 เมษายน 2017 ระบุว่า หากรัฐสภารับรองร่างรัฐธรรมนูญด้วยคะแนนเสียงอย่างน้อยสองในสามของคะแนนเสียงที่ลงทั้งหมดจะต้องนำไปสู่การออกเสียงประชามติที่มีผลผูกพัน การออกเสียงประชามติจะต้องเกิดขึ้นไม่เร็วกว่าหกเดือนหลังจากการรับรองของรัฐสภาและต้องไม่ช้ากว่าเก้าเดือน ในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบนั้นจะต้องได้รับการรับรองด้วยเสียงข้างมากของบัตรดี (Valid vote) ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด หลังจากนั้นจะต้องได้รับการรับรองจากประธานาธิบดีของสาธารณรัฐและมีผลเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญ

If Parliament approves a constitutional bill with at last 2/3 of votes cast it shall be submitted to a binding referendum. The referendum shall take place no sooner than months after the parliamentary approval and no later than months. In order to pass, the bill needs to be approved by the majority of valid votes which is not less than 40% of all registered voters. Subsequently it shall be confirmed by the President of the Republic and become a valid constitutional law.

กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบพิเศษนี้สะท้อนภาพการใช้ประชามติเพื่อตอบโต้ข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นจากการทำประชามติแบบปรึกษาหารือในปี 2012

คณะกรรมาธิการรัฐธรรมนูญและภารกิจฟังเสียง-ส่งต่อฝันประชาชน

เนื้อหาในส่วนนี้เขียนโดย Björg Thorarensen ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ หนึ่งในคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ มีรายละเอียดดังนี้  ในการอภิปรายร่างพ.ร.บ. 90/2010 ว่าด้วยสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ (Act 90/2010 on the Constitutional Assembly) ผู้แทนรัฐสภามีการกล่าวถึงโครงสร้าง ขั้นตอนและกรอบเวลาการดำเนินงานของสภา นอกจากนี้ยังมีความพยายามที่จะจำกัดค่าใช้จ่ายการทำงานของสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ ท้ายที่สุดมีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการทำงานของสมัชชาจาก 11 เดือนให้เหลือเพียงสี่เดือน โดยเพิ่มผู้เล่นและกระบวนการคือ คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (Constitutional commission) และเวทีระดับชาติ (National forum) ซึ่งเป็นการเสนอโดยคณะกรรมการกิจการตุลาการ (Judicial Affairs Committee) ในการพิจารณากฎหมายวาระสอง

คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญถูกวางไว้เพื่อเตรียมการทางข้อมูลและรวบรวมข้อเสนอจากเวทีระดับชาติเพื่อให้การทำงานสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญที่มีอย่างจำกัดมีประสิทธิภาพและไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจะได้รับการแต่งตั้งจากสภามีจำนวนเจ็ดคนและปฏิบัติงานอย่างอิสระ ทั้งนี้ตามกฎหมายไม่มีการกำหนดถึงคุณสมบัติความเชี่ยวชาญต่างๆ มีการระบุกว้าง ๆ ว่า มีชื่อเสียงที่ดี (Good reputation) ท้ายที่สุดมีผู้หญิงสี่คนและชายสามคนได้รับเลือกเป็นคณะกรรมาธิการดังนี้

  1. Björg Thorarensen ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ 
  2. Skúli Magnússon นายทะเบียนศาลและเป็นรองศาสตราจารย์ 
  3. Guðrún Pétursdóttir ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาเซลล์และผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาความยั่งยืน
  4. Njörður P. Njarðvík ศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านวรรณคดี 
  5. Ágúst Þór Árnason เจ้าหน้าที่ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย Akureyri  
  6. Aðalheiður Ámundadóttir นักศึกษากฎหมายระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัย Akureyri  
  7. Ellý Katrín Guðmundsdóttir ทนายความและผู้จัดการประเด็นสิ่งแวดล้อมเมือง Reykjavík

คณะกรรมาธิการทั้งหมดไม่เคยได้รับเลือกเป็นสมาชิกรัฐสภาและไม่มีความสัมพันธ์ทางตรงกับพรรคการเมือง การเลือกคณะกรรมาธิการนี้ไม่มีกระบวนการหรือเอกสารอย่างเป็นทางการ แต่ชัดเจนว่า เป็นการพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการของพรรคการเมืองที่มีที่นั่งในสภา คณะกรรมาธิการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2010 และตลอดอายุสมัยมีการประชุม 40 ครั้ง ในจำนวนนี้ 19 ครั้งเป็นการประชุมก่อนการจัดเวทีระดับชาติ เวลาใกล้เคียงกันคณะกรรมาธิการยังจัดประชุมแบบเปิดรวมเจ็ดครั้งระหว่างวันที่  4-20 ตุลาคม 2010 ทั่วประเทศเพื่อส่งเสริมการพูดคุยสาธารณะและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญและกระบวนการปฏิรูป

ที่มา : Matito| Creative Commons

6 พฤศจิกายน 2010 คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจัดเวทีระดับชาติ ตามกฎหมายจะต้องมีผู้เข้าร่วมประมาณ 1,000 คน แต่ในความเป็นจริงมีผู้เข้าร่วมประมาณ 1,500 คน โดยจะถูกเลือกแบบสุ่มจากทะเบียนราษฎร คำนึงถึงการกระจายตัวของผู้เข้าร่วมทั่วประเทศและการแบ่งอย่างเท่ากันระหว่างเพศสภาพเท่าที่สามารถเป็นไปได้ ผู้เข้าร่วมจะต้องมีสิทธิการออกเสียงเลือกตั้งสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญและมีภูมิลำเนาในไอซ์แลนด์ เป้าหมายในการพูดคุยวันดังกล่าวไม่เพียงแค่อภิปรายเรื่องรัฐธรรมนูญ แต่ยังพูดคุยเรื่องคุณค่าที่ควรรับมาเป็นแนวทางในการสร้างสังคมใหม่หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจและกระตุ้นการพูดคุยเรื่องสถาบันหลักทางสังคม แบ่งเป็นเรื่องอุดมคติและค่านิยม 45 นาที เนื้อหาของรัฐธรรมนูญใหม่ 70 นาที และข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วม ดังนั้นแล้วเวทีดังกล่าวจึงมีเจตนาในการให้รัฐบาลตระหนักว่า ชาวไอซ์แลนด์มองว่า ประเด็นใดบ้างที่ถือเป็นคุณค่าพื้นฐานที่สำคัญและปัญหาหลักต่างๆ ที่ต้องดำเนินการแก้ไข เวทีดังกล่าวถือว่าประสบความสำเร็จและมีการเผยแพร่รายงานต่อสาธารณะ

หลังการจัดเวทีระดับชาติ คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญกลับมาปฏิบัติหน้าที่หลักตามกฎหมายอีกประการคือ การเสนอแนวคิดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ โดยคณะกรรมาธิการตัดสินใจในการร่างตัวอย่างว่า รัฐธรรมนูญใหม่จะมีโครงสร้างและเนื้อหาอย่างไร มีการวางโครงร่างไว้ใน 13 ประเด็นย่อย ซึ่งคณะกรรมาธิการแต่ละคนจะร่างข้อเสนอของตนเองไว้และมีการถกเถียงในจุดแข็งและจุดอ่อนของข้อเสนอแต่ละคน มีการแสวงหาความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก ท้ายที่สุดมีการแบ่งข้อเสนอร่างรัฐธรรมนูญใหม่เป็นสองรูปแบบคือ แบบ A และแบบ B ทั้งนี้คณะกรรมาธิการไม่ได้มีจุดยืนหรือความเห็นเสียงข้างมากหรือข้างน้อย

การเสนอร่างรัฐธรรมนูญสองรูปแบบที่ครอบคลุมใน 13 ประเด็นย่อยแทนที่จะเป็นหนึ่งรูปแบบนั้นหมายความว่าไม่มีความเป็นเอกฉันท์เกี่ยวกับร่างเดียวของรัฐธรรมนูญใหม่ คณะกรรมาธิการระบุว่า การใช้ข้อเสนอเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามมีสมาชิกคณะกรรมาธิการเตือนเรื่องการล่วงล้ำบทบาทของสภาร่างรัฐธรรมนูญ Njörður P. Njarðvik บันทึกข้อสงวนพิเศษ (Special reservation) เกี่ยวกับการเสนอร่างรัฐธรรมนูญทั้งสองรูปแบบ โต้แย้งว่าอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการไม่ใช่การรวบรวมเนื้อหารัฐธรรมนูญที่ครอบคลุม

ฝ่าด่านเลือกตั้งโมฆะโอนสสร.เลือกตั้งเป็นแต่งตั้ง

เนื้อหาในส่วนนี้เขียนโดย Salvör Nordal ผู้อำนวยการสถาบันจริยธรรม มหาวิทยาลัยไอซ์แลนด์สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ มีรายละเอียดดังนี้ การเลือกตั้งสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ. 90/2010 ว่าด้วยสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ (Act 90/2010 on the Constitutional Assembly) คุณสมบัติคือ ต้องเป็นพลเมืองไอซ์แลนด์ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปและมีการรับรองว่า ไม่มีประวัติอาชญากรรม ผู้สมัครแต่ละคนจะต้องหาบุคคลอ้างอิงหรือลายเซ็นอย่างน้อย 30 ชื่อเท่านั้นซึ่งต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ต้องการอย่างน้อย 1,500 รายชื่อ มีการกำหนดห้าม เช่น ไม่ให้ประธานาธิบดี ผู้พิพากษาในศาลฎีกา รัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญและคณะกรรมการเตรียมการสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ กระบวนการนี้มีผู้สมัครทั้งหมด 522 คน การเลือกตั้งใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ไม่มีการแบ่งเขตเลือกตั้งเหมือนการเลือกตั้งทั่วไป 

ผู้สมัครแต่ละคนไม่ได้รับเงินสนับสนุนสำหรับการทำแคมเปญหาเสียง กระทรวงยุติธรรมมีการทำโบรชัวร์ในลักษณะหนังสือพิมพ์แจกจ่ายไปตามบ้าน มีการอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับผู้สมัครแต่ละคน ขณะเดียวกันสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติได้มีการบันทึกจุดยืนของผู้สมัครแต่ละคนและนำไปออกอากาศระหว่างวันที่ 23-26 พฤศจิกายน 2010 ก่อนการเลือกตั้งประมาณหนึ่งสัปดาห์ การเลือกตั้งใช้ระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง (Single transferable vote) คือผู้ออกเสียงสามารถเลือกผู้สมัคร 25 คน เรียงตามลำดับลงมา โดยมีผู้มาออกเสียงร้อยละ 35.95 เท่านั้นต่ำกว่าจำนวนผู้ที่มาออกเสียงในการเลือกตั้งทั่วไป

หลังการเลือกตั้งมีการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาว่า การเลือกตั้งไม่เป็นไปตามกฎหมายเลือกตั้งหรือพ.ร.บ. 24/2000 ในเรื่องการออกแบบบัตรออกเสียง การใช้จอในหน่วยออกเสียงที่แตกต่างจากการจัดหน่วยออกเสียงตามขนบ แต่ไม่มีการร้องเรียนเรื่องการโกงหรือผลคะแนนที่ผิด อย่างไรก็ตามแม้คำร้องเป็นเรื่องวิธีการจัดการไม่ได้มีน้ำหนัก แต่ศาลฎีกาสั่งให้การเลือกตั้งดังกล่าวเป็นโมฆะเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2011 ซึ่งคำตัดสินดังกล่าวถูกวิจารณ์อย่างหนัก มีการโต้แย้งว่า แม้จะมีความคลาดเคลื่อนระหว่างกฎหมายเลือกตั้งกับการเลือกตั้งสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญอยู่บ้างก็ตาม แต่เรื่องดังกล่าวไม่มีความร้ายแรงพอให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ

หลังเหตุการณ์ดังกล่าวนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อพิจารณาสถานการณ์และนำเสนอข้อเสนอที่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนใหญ่ของคณะกรรมการให้แต่งตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (Constitutional Council) ในท้ายที่สุดข้อเสนอว่าด้วยสภาร่างรัฐธรรมนูญได้รับความเห็นชอบด้วยเสียงจากผู้แทนในรัฐสภา 30 จาก 63 เสียง มีเสียงไม่เห็นชอบ 21 เสียง งดออกเสียงเจ็ดเสียง และไม่มาออกเสียงห้าคน วันที่ 24 มีนาคม 2011 รัฐสภาเสนอให้ผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 25 คนเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญและแต่งตั้งพวกเขาอย่างเป็นทางการแทน เหตุผลสำคัญคือ ประสิทธิภาพการดำเนินงานที่จะสามารถประหยัดเวลาและงบประมาณเนื่องจากกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่มีการเตรียมการผ่านคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญและคณะกรรมการเตรียมการแล้ว

นอกจากนี้ยังโต้แย้งด้วยว่า ไม่มีข้อบ่งชี้ว่า กระบวนการเลือกตั้งสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญส่งผลกระทบต่อผลการเลือกตั้งจึงถือได้ว่าความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อผู้ได้รับเลือกไม่ได้ลดน้อยลง การตัดสินใจดังกล่าวนำสู่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก นักวิชาการด้านกฎหมายระบุว่า ถึงแม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะไม่ได้ขัดต่อกฎหมายแต่ไม่เหมาะสม ขณะที่นักวิชาการอีกท่านหนึ่งระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวของรัฐสภาเป็นสัญญะที่ชัดเจนของการไม่เคารพหลักการแบ่งแยกระหว่างอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลาการ ท้ายที่สุดมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 25 คนแบ่งเป็นผู้หญิงสิบคนและผู้ชาย 15 คน ซึ่งสัดส่วนผู้หญิงเป็นไปตามที่รัฐสภากำหนดไว้คือ อย่างน้อยร้อยละ 40 จากสมาชิกทั้งหมด สมาชิกจำนวนมากมีเครือข่ายเข้มแข็งในพื้นที่ชนบท ห้าคนมีสถานะทางวิชาการ หนึ่งคนเป็นเกษตรกรและอีกหนึ่งคนเป็นอดีตผู้นำสหภาพแรงงาน มีสมาชิกสองคนที่เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา 

การทำงานของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมีระยะเวลาสี่เดือน โดยแบ่งการทำงานเป็นคณะกรรมการย่อยสามคณะ ได้แก่ คณะ A จะพิจารณาโครงสร้างและการแบ่งหมวดของร่างรัฐธรรมนูญ ประเด็นทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสิทธิมนุษยชน คณะ B จะพิจารณารากฐานของรัฐธรรมนูญไอซ์แลนด์ บทบาทและตำแหน่งของประธานาธิบดีไอซ์แลนด์ บทบาทและความรับผิดชอบของรัฐสภา รัฐบาล ความรับผิดชอบของประธานาธิบดีและรัฐมนตรี หน้าที่ของฝ่ายบริหาร และสถานะของเทศบาล และคณะ C พิจารณาเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจรวมถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ความเป็นอิสระของศาล การกำกับดูแลทางตุลาการต่อองค์กรอื่นของรัฐ การเลือกตั้งรัฐสภา ระบบเขตเลือกตั้งและสมาชิกรัฐสภา สัญญาระหว่างประเทศและการต่างประเทศ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเริ่มทำงานจากการอ่านรายงานของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของสมาชิกและเป็นแหล่งอ้างอิงที่สำคัญในเวลาต่อมา

รัฐธรรมนูญแบบ crowdsourcing  เน้นโปร่งใส เปิดช่องให้ประชาชนมีส่วนร่วม 

กระบวนการปฏิรูปรัฐธรรมนูญของไอซ์แลนด์กลายเป็นแนวปฏิบัติที่ดีของการมีส่วนร่วมและรัฐเปิด (Open government) ตัวอย่างสำคัญคือ กระบวนการในสภาร่างรัฐธรรมนูญที่สร้างรัฐธรรมนูญแบบ crowdsourcing ที่แรกของโลก  มีเป้าหมายที่รวบรวมความเห็นจากผู้คน มีการโฆษณาผ่านสื่อเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนเรียนรู้การร่างรัฐธรรมนูญและส่งข้อเสนอแนะเข้ามา  สภาร่างรัฐธรรมนูญมีเจตจำนงในการดำเนินการประชุมอย่างเปิดเผยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีการถ่ายทอดสดการประชุมประจำสัปดาห์และเปิดเป็นสาธารณะ รวมถึงยังเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญบนเพจเฟซบุ๊กหรือโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่ประชาชนสามารถเข้ามาให้ความเห็นได้ 

ขณะเดียวกันยังรับความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายเข้ามามีส่วนในหลายช่องทางทั้งระหว่างการทำงานของสภาร่างรัฐธรรมนูญและหลังจากที่สภาส่งร่างรัฐธรรมนูญใหม่แก่รัฐสภาไปแล้ว โดยรัฐสภาได้แสวงหาความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม รวมถึงมีการเชิญให้คณะกรรมการเวนิซมาให้ความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ วันที่ 11 มีนาคม 2013 คณะกรรมการส่งความเห็นให้แก่รัฐสภาไอซ์แลนด์ (อ่านเพิ่มเติม)  

แม้การมีส่วนร่วมของประชาชนถือเป็นจุดเด่นของกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ระหว่างทางยังมีอุปสรรคอีกมาก หลังจากรัฐสภาได้รับร่างรัฐธรรมนูญใหม่แล้วก็ไม่ได้มียุทธศาสตร์ในการทำงานกับร่างดังกล่าว ซึ่งนำสู่ความล้มเหลวที่มีเหตุผลสามประการ 

  • ความผูกผันของรัฐสภากับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในแง่อำนาจของรัฐสภาในการดำเนินการต่อ
  • สภาร่างรัฐธรรมนูญ (Constitutional council) ที่เสนอร่างใหม่นี้ไม่ใช่สมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ (Constitutional assembly) ตามพ.ร.บ. 90/2010 หลังศาลฎีกาสั่งให้การเลือกตั้งสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ รัฐสภาไม่จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ กลับแต่งตั้งผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญแทน ซึ่งสภาร่างรัฐธรรมนูญมองว่า อาณัติของสภายังไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นอิสระจากรัฐสภาไอซ์แลนด์ รัฐสภาไม่เคยชี้แจงว่า สภาร่างรัฐธรรมนูญมีสถานะเป็นเพียงคณะกรรมาธิการของรัฐสภาหรือเป็นองค์กรพิเศษที่มีบทบาทสาธารณะพิเศษ ซึ่งความไม่ชัดเจนดังกล่าวก็ส่งผลต่อการทำงานเวลาต่อมา 
  • วันที่ 24 พฤษภาคม 2012 รัฐสภาตัดสินใจว่า จะนำข้อเสนอของสภาร่างรัฐธรรมนูญและคำถามเพิ่มเติมห้าข้อเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญไปทำประชามติเพื่อปรึกษาหารือ (Consultative referendum) แต่ก็ไม่ได้ระบุล่วงหน้าว่า ควรตีความผลลัพธ์อย่างไร

20 ตุลาคม 2012 มีการจัดประชามติแบบปรึกษาหารือ คำถามหลักคือ คุณต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญของสภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นรากฐานสำหรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่? (Do you wish the Constitutional Council’s Proposal to form the basis of a new draft constitution?) การออกเสียงประชามติมีผู้มาออกเสียงร้อยละ 48.9 โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 67 เห็นชอบกับคำถามดังกล่าว หลังประชามติสมาชิกรัฐสภาบางคนแสดงความเห็นว่า ไม่ควรนำผลเห็นชอบดังกล่าวมาดำเนินการจริงจัง อ้างจำนวนผู้มาออกเสียงที่ไม่สามารถเป็นมาตรวัดที่น่าเชื่อถือว่า สาธารณชนให้การสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญใหม่  ขณะเดียวกันเหล่านักปรัชญา ผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองและกฎหมายยังวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงนำสู่ความลังเลของสมาชิกรัฐสภาในการตัดสินใจระหว่างการทำตามเสียงของประชาชนหรือเสียงจากประชาคมวิชาการ

อย่างไรก็ตามประชามติครั้งนี้เป็นแบบปรึกษาหารือไม่มีผลผูกพันกับรัฐสภาว่าจะต้องมีกระบวนการใดตามมา แต่ผลของการประชามติที่มีประชาชนสนับสนุนค่อนข้างมากเช่นนี้ก็ควรคาดหมายซึ่งการตัดสินใจของรัฐสภาในกระบวนการต่อไปได้ หากแต่รัฐสภาไม่ได้มีการประกาศอย่างชัดเจน สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐสภาที่ไม่ได้เตรียมกระบวนการสำหรับการรับร่างรัฐธรรมนูญจากสภาร่างรัฐธรรมนูญที่จะนำสู่ข้อสรุปที่ยอมรับได้ในรัฐสภา ขาดความชัดเจนในการกำหนดสถานะของร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการออกเสียงประชามติ และขาดกลไกในการดำรงความสมดุลระหว่างความเห็นสาธารณชนและผู้เชี่ยวชาญ สุญญากาศทางการเมืองดังกล่าวทำให้ในปี 2013 รัฐสภาผ่านพ.ร.ป. 91/2013 ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐ (Constitutional Act 91/2013 Amending the Constitution of the Republic) กำหนดวิธีการรับรองร่างรัฐธรรมนูญของรัฐสภาและการออกเสียงประชามติแบบผูกพัน

เขียนรัฐธรรมนูญใหม่รอบสอง เปลี่ยนจากเลือกตั้งเป็นแต่งตั้งจากพรรคการเมือง

เนื้อหาส่วนนี้เขียนโดย Páll Þórhallsson สมาชิกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ รายละเอียดดังนี้ ผลการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 27 เมษายน 2013 ความหวังในการผ่านร่างรัฐธรรมนูญของของสภาร่างรัฐธรรมนูญลดน้อยลงไปเมื่อพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคอิสรภาพและพรรคก้าวหน้าที่เคยเป็นฝ่ายค้านเดิมรวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ตามพรรครัฐบาลปี 2013 ยังมีข้อตกลงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่อยู่ แต่เป็นรูปแบบใหม่ พรรคการเมืองในรัฐสภาตกลงที่จะตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (Constitutional committee) ที่แต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี สมาชิกมีจำนวนเก้าคนมาจากการเสนอของพรรครัฐบาลสองพรรค พรรคละสองคน และพรรคฝ่ายค้านสี่พรรค พรรคละหนึ่งคน ประธานคณะกรรมการมาจากการแต่งตั้งของนายกรัฐมนตรี ซึ่งแต่งตั้ง Sigmunður David Gunnlaugsson จากพรรคก้าวหน้า โดยไม่มีกระบวนการเสนอชื่อ

ความท้าทายของการทำงานของคณะกรรมการคือ การหาจุดประนีประนอมระหว่างความต้องการเขียนใหม่ทั้งฉบับกับแก้ไขรายมาตรา การทำงานมีการกำหนดในการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะและจัดลำดับความสำคัญในประเด็นต่างๆ เพื่อให้สามารถบรรลุแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นสำคัญเพื่อนำไปสู่การออกเสียงประชามติแบบผูกพันช่วงกลางวาระ จากนั้นจึงค่อยพิจารณาในประเด็นอื่นๆ หากในความเป็นจริงการทำงานของคณะกรรมการสามปี สามารถจัดการได้เพียงวาระสำคัญเท่านั้นและกระบวนการชะงักลงเนื่องจากมีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 29 ตุลาคม 2016 ก่อนครบวาระอันเป็นผลมาจากวิกฤตทางการเมืองที่สืบเนื่องจากการเผยแพร่เอกสารปานามา (Panama Papers)


แอฟริกาใต้ : เจรจา-เจรจา-เจรจา ทางเลือกเดียวสู่รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย

ประวัติศาสตร์ของการพัฒนารัฐธรรมนูญแอฟริกาใต้ครอบคลุมเวลาเก้าทศวรรษอยู่ระหว่างหมุดหมายทางประวัติศาสตร์สองครั้งที่มีสนธิสัญญาสันติภาพยุติความขัดแย้งและนำไปสู่การก่อรูปรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สนธิสัญญาฉบับแรกคือ สนธิสัญญาเฟอเรียเนอคัง (Treaty of Vereeniging) เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 1902 เป็นผลให้ยุติสงครามแองโกล-บัวร์ (Anglo–Boer War) ระหว่างจักรวรรดิอังกฤษและดินแดนในแอฟริกาใต้ ซึ่งได้วางรากฐานสำหรับรัฐธรรมนูญฉบับแรกของแอฟริกาใต้ และสนธิสัญญาฉบับที่สองคือรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 1993 ที่ถือได้ว่า เป็นสนธิสัญญาในการยุติความขัดแย้งเช่นกัน 

รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 1993 วางรากฐานสำหรับแอฟริกาใต้หลังยุคการแบ่งแยกสีผิว (Apartheid) และกระบวนการการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ที่ร่างโดยสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ (Constitutional assembly) ซึ่งได้รับเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอย่างไม่กีดกันเชื้อชาติและสีผิว ผลที่ตามมาคือ รัฐธรรมนูญปี 1996 ที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของการเปลี่ยนผ่านแอฟริกาใต้สู่สันติภาพและประชาธิปไตย ความโดดเด่นของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญของแอฟริกาใต้อยู่ที่กระบวนการเจรจาต่อรองแบบ “มาราธอน” กว่าสิบปีของฝ่ายการเมืองเพื่อยุติความขัดแย้งรุนแรงในแอฟริกาใต้ แม้หลายฝ่ายจะมีความคลางแคลงใจและหันหลังให้การเจรจาอยู่หลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็ต่างกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อเดินหน้าสู่การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะนี่คือทางเลือกเดียวที่เป็นไปได้ในการไปสู่สันติภาพ

ย้อนรอยรัฐธรรมนูญแบ่งแยกสีผิว เลือกปฏิบัติต่อชนพื้นเมือง

นับแต่การสิ้นสุดสงครามแองโกล-บัวร์ คนแอฟริกันถูกกีดกันออกจากกระบวนการตัดสินใจทางการเมืองและสิทธิทางการเมือง ในปี 1908 มีการประชุมที่มีผู้แทนผิวขาวจากอาณานิคมทั้งสี่และตกลงในการจัดตั้งรัฐบาลโดยปราศจากตัวแทนชาวแอฟริกัน ครั้งนั้นมีข้อถกเถียงสำคัญในการพิจารณารัฐธรรมนูญคือ เรื่องชนพื้นเมืองและการเป็นสหพันธรัฐหรือระบบรวมศูนย์ ซึ่งท้ายที่สุดผู้แทนตัดสินใจไปในทางรูปแบบรวมศูนย์และร่างกฎบัตรแอฟริกา (South Africa Act) มีวัตถุประสงค์ในการตราเป็นรัฐธรรมนูญเพื่อรวมอาณานิคมปกครองตนเองของอังกฤษในแอฟริกาใต้เข้าเป็นสหภาพภายใต้จักรวรรดิอังกฤษ เมื่อร่างดังกล่าวได้รับการรับรองในสภาของดินแดนทั้งสี่แล้วและส่งต่อไปให้สภาจักรวรรดิพิจารณา ตัวแทนชาวแอฟริกันไปโต้แย้งในสภาในกรุงลอนดอนระบุว่า ร่างดังกล่าวจะเป็นผลให้เกิดการเลือกปฏิบัติทางการเมือง

แม้จะมีการประท้วงแต่สภาจักรวรรดิก็ผ่านร่างดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 1909 และจัดตั้งสหภาพแอฟริกาใต้ (Union of South Africa) มีรัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐบาลประกอบไปด้วยชายผิวขาวและถอนสิทธิการออกเสียงที่เดิมก็มีอยู่เพียงน้อยนิดของคนแอฟริกัน นอกจากนี้รัฐบาลยังออกกฎหมายที่เลวร้ายหลายฉบับ หนึ่งในนั้นคือ พระราชบัญญัติที่ดินปี 1913 ริบทรัพย์และถอดถอนสิทธิของชาวแอฟริกัน ระบอบที่กดขี่ดังกล่าวทำให้ชาวแอฟริกันต้องรวมตัวกันเป็นองค์กรเดียวกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง มีการจัดตั้งสภาคองเกรสแห่งชาติแอฟริกัน (The African National Congress – ANC) อย่างไรก็ตาม การเลือกปฏิบัติต่อชาวแอฟริกันยังเกิดขึ้นเรื่อยมา 

ที่มา : United Nations Photo | Creative Commons

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 1941 กฎบัตรแอตแลนติกระหว่างสหรัฐอเมริกาและอังกฤษถูกลงนามโดยมีหลักการสำคัญคือ การไม่แสวงหาดินแดนเพิ่มเติมและเสรีภาพจากความกลัวและความต้องการ ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ขบวนการเคลื่อนไหวชาตินิยมแอฟริกันนำไปสู่การประกาศ “African Claims” เรียกร้องสิทธิพลเมืองเต็มรูปแบบ สิทธิในที่ดินและการยุติกฎหมายที่เลือกปฏิบัติทั้งปวง 

ในปี 1948 พรรคแห่งชาติ (National Party-NP) ขึ้นสู่อำนาจ ใช้นโยบายแบ่งแยกสีผิว (Apartheid) และออกกฎหมายที่เลือกปฏิบัติ นำไปสู่การต่อต้านจากชาวแอฟริกันผิวดำ มีการรวมตัวกันออกแคมเปญรณรงค์ขัดขืนเพื่อต่อต้านการออกกฎหมายดังกล่าว เดือนพฤษภาคม 1957 ANC พยายามจะเปิดการพูดคุยที่มีตัวแทนจากทุกกลุ่มประชากรมาหาทางออกในปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ข้อเรียกร้องดังกล่าวถูกเพิกเฉย ปีถัดมาเนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandala) ผู้นำของ ANC ในเวลานั้นเรียกร้องให้มีการตรารัฐธรรมนูญประชาธิปไตยที่ไม่แบ่งแยกชาติพันธุ์ แต่ไม่ถูกรับฟังอีกเช่นเคย  

จุดแตกหักคือ มีการประท้วงระดับชาติมีการรณรงค์ขัดขืนขนาดใหญ่ ระหว่างนี้มีผู้ถูกจับกุมมากกว่า 10,000 คน และวันที่ 31 พฤษภาคม 1961 รัฐบาลสั่งแบน ANC และองค์กรที่เกี่ยวข้อง ปิดพื้นที่ทางกฎหมาย “ในระบบ” ที่ชาวแอฟริกันผิวดำใช้ต่อรองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิที่พวกเขาควรได้รับ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากการต่อสู้ด้วยอาวุธ ANC เปลี่ยนจากองค์กรชาตินิยมแอฟริกันที่ไม่ใช้ความรุนแรงเป็นขบวนการปฏิวัติเพื่อการปลดปล่อย นำสู่สถานการณ์ขัดกันด้วยอาวุธ (Armed conflict) ซึ่งยาวนานกว่า 30 ปี โดยภายในปี 1964 ผู้นำ ANC ส่วนใหญ่ถูกคุมขัง รวมถึงแมนเดลาด้วย

การปฏิรูปรัฐธรรมนูญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และจุดเริ่มต้นการเจรจา

เดือนมิถุนายน 1976 เกิดการลุกฮือที่โซเวโต (Soweto Uprising) เป็นการประท้วงของนักเรียนผิวดำเพื่อต่อต้านการบังคับใช้ภาษาแอฟริกานส์ (Afrikaans) ที่สำหรับคนแอฟริกันผิวดำแล้วถือว่าเป็นภาษาของผู้กดขี่ ให้เป็นภาษาในการเรียนการสอนในโรงเรียน นักเรียนหลายร้อยคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้นโยบายการแบ่งแยกสีผิวถูกประณามอย่างมากจากนานาชาติ หลังเหตุการณ์ที่โซเวโต ผู้คนหลายพันคนเข้าร่วมขบวนการปลดปล่อยและการต่อสู้ด้วยอาวุธเติบโตขึ้น ด้านรัฐบาลที่ถูกโจมตีจากนโยบายเลือกปฏิบัติก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะให้คำมั่นว่าจะปฏิรูป

ที่มา : United Nations Photo | Creative Commons

ปี 1978 พี ดับเบิ้ลยู โบธา (P.W. Botha) นายกรัฐมนตรีในเวลานั้นตั้งกระทรวงการวางแผนและพัฒนารัฐธรรมนูญ มีอาณัติในการเสนอข้อเสนอการปฏิรูป แม้จะให้คำมั่นในการปฏิรูปแต่ในทางปฏิบัติไม่เป็นเช่นนั้น ในปี 1983 มีการพัฒนารูปแบบของสภาที่ประกอบไปด้วย สภาประธานาธิบดีและรัฐสภาที่มีสามสภาคือ สภาคนผิวขาว คนผิวสีและชาวอินเดียน อีกนโยบายสำคัญคือ การปฏิรูปและการปราบปราม (Reform and repression) ด้วยการจัดการปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ตึงเครียดเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งจะเป็นการโดดเดี่ยวฝ่ายขบวนการปลดปล่อยในทางอ้อม และมีสร้างกลุ่ม “Urban insiders” คือ ชนชั้นสูงผิวดำที่มีอยู่ไม่มากให้มาเป็นกันชนระหว่างรัฐบาลกับชาวแอฟริกันส่วนใหญ่ รวมทั้งยังคงนโยบายการแบ่งแยกสีผิวไว้อยู่ 

อย่างไรก็ตามการต่อต้านทวีความรุนแรงขึ้นโดยในปี 1984 ปฏิบัติการติดอาวุธเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 50 ครั้งต่อปี และในปี 1986 ANC ประกาศว่า เป็นปีแห่งกองทัพประชาชน นับแต่ปีนั้นการโจมตีเพิ่มขึ้นไปที่ 250-300 ครั้งต่อปี อย่างไรก็ดีความรุนแรงที่เกิดขึ้นนำไปสู่การถกเถียงภายในขบวนการเองด้วยระหว่างผู้สนับสนุนสงครามแบบก่อความไม่สงบ กับผู้ที่ต้องการสงครามเพื่อบังคับให้ระบอบหรือผู้มีอำนาจเข้าสู่โต๊ะเจรจา

ช่วงเวลาใกล้เคียงกันในปี 1985 การต่อสู้อยู่ในจุดที่อาจเกิดสงครามกลางเมือง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประเทศก็ถูกโดดเดี่ยวออกจากประชาคมระหว่างประเทศมากขึ้น ทั้งรัฐบาลและขบวนการปลดปล่อยไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ทำให้เกิดภาวะชะงักงัน ขณะที่กระบวนการเจรจาไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายด้วยรัฐบาลก็ถือว่า เป็นผู้กุมอำนาจทางการทหารและการรับรู้ในเชิงลบของสองฝ่ายที่ต่อกันมายาวนาน อย่างไรก็ตามเนลสัน แมนเดลาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดความเป็นไปได้ในการเจรจา ประกอบกับมาตรการรุนแรงของโบธาต่อขบวนการปลดปล่อยก็นำมาสู่แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นของนานาชาติต่อแอฟริกาใต้

ปี 1985 แมนเดลาที่อยู่ระหว่างการคุมขังในเรือนจำ มีการพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผลการพูดคุยเป็นไปในเชิงบวก การพูดคุยระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นการหารือเบื้องต้นในความเป็นไปได้ของการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง แมนเดลาพยายามพูดคุยให้รัฐบาลเชื่อว่า รัฐบาลอยู่ในสถานะที่สามารถเจรจากับ ANC ได้ เขาเขียนจดหมายถึงโบธาด้วยเป็นการโน้มน้าวว่า ANC ไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายที่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง พวกเขาเป็นคนมีเหตุมีผล ทั้งนี้แมนเดลายังเสนอกรอบการเจรจาคร่าวๆ ว่า จะต้องจัดการกับประเด็นทางการเมืองสองประการคือ ประการแรก ข้อเรียกร้องในการปกครองด้วยเสียงส่วนใหญ่ในรัฐเดี่ยวและประการที่สอง ความกังวลของคนผิวขาวแอฟริกันในข้อเรียกร้องดังกล่าว รวมถึงการยืนยันของคนผิวขาวที่ต้องการหลักประกันทางโครงสร้างว่าการปกครองโดยเสียงข้างมากจะไม่นำไปสู่การครอบงำชนกลุ่มน้อยผิวขาวโดยคนผิวดำ อันเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดที่รัฐบาลและ ANC จะต้องเผชิญคือการประนีประนอมจุดยืนทั้งสองนี้

ล้อมรัฐเปิดโต๊ะเจรจา ชิงบทบาทนำวางเงื่อนไขการพูดคุย

 การพูดคุยระหว่างแมนเดลาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักว่า การเจรจาเป็นทางเลือกที่เป็นจริงและเป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้องที่จะนำพาทั้งสองฝ่ายบรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเองได้ เป็นไปในทิศทางเดียวกันสำหรับ ANC การต่อสู้ด้วยอาวุธเป็นเพียงยุทธวิธี (Tactic) มากกว่ากลยุทธ์ (Strategy) และนับแต่ก่อตั้งองค์กร ANC เรียกร้องโอกาสในการหารือเกี่ยวกับอนาคตของประเทศกับรัฐบาล ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่ ANC จะยอมรับคุณค่าของการเจรจา ในช่วงต้นของการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการ ANC อยู่ภายใต้การนำของโอลิเวอร์ แทมโบ (Oliver Tambo) ที่อยู่ระหว่างลี้ภัย เขาเป็นเพื่อนร่วมงาน ร่วมอุดมการณ์ของแมนเดลาและมีสัญชาตญาณทางการเมืองแบบเดียวกัน แม้จะลี้ภัยอยู่แต่เพียงแค่เห็นสัญญาณของความเปลี่ยนแปลงแทมโบเริ่มพูดคุยเรื่องการเจรจาภายในหมู่ผู้นำของ ANC

การประชุมครั้งแรกระหว่างแมนเดลาและรัฐบาลโบธาเกิดขึ้นในระดับผู้นำ ตามด้วยการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ การประชุมในระดับผู้นำเกี่ยวข้องกับหลักการ ในขณะที่การประชุมของเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องเนื้อหา การประชุมระดับผู้นำเปรียบได้กับม่านแห่งความลับ มีเพียงไม่กี่คนที่รับรู้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการให้สิ่งใดมาทำลายกระบวนการหรือตัวแทนเจรจาเอง ในทำนองเดียวกันก็ไม่มีการรับประกันผลลัพธ์ของการหารือ นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคก่อนเริ่มกระบวนการเจรจาอย่างเป็นทางการ เช่น การที่รัฐบาลเรียกร้องให้ ANC หยุดความรุนแรงหรือตัดสายสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์ ขณะเดียวกันผู้นำระดับสูงและมีอำนาจในการตัดสินใจในขบวนการปลดปล่อยก็ต่างถูกคุมขังหรือลี้ภัย หรือเป็นที่ต้องการตัวจากหน่วยงานความมั่นคง ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่การเจรจาจะเกิดขึ้นโดยไม่ให้ผู้เจรจาเสี่ยงต่อการถูกจับกุมหรือได้รับอันตราย

What freedom am I being offered while the organization of the people remains banned?  what freedom am I being offered when I may be arrested on a pass offence? What freedom am I being offered to live my life as a family with my dear wife who remains in banishment in Brandfort? What freedom am I being offered when I must ask for permission to live in an urban area? What freedom am I being offered when my very South African citizenship is not respected? only free men can negotiate. Prisoners cannot enter into contracts.” แถลงการณ์ของแมนเดลาระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำต่อประเด็นอุปสรรคในการเจรจา

 เดือนสิงหาคม 1989 เอฟ ดับเบิ้ลยู เดอ เคลิร์ก (F.W. De Klerk) เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ช่วงเวลานี้ ANC เริ่มสร้างช่องทางการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพโดยตรงระหว่างแมนเดลาที่ถูกคุมขังในเรือนจำและแทมโบ ซึ่งเวลานั้นกำลังเตรียมการการเจรจา แทมโบรู้ดีว่าหากเขาไม่ชิงเริ่มต้นก่อนจะสูญเสียโอกาสในการนำและส่งผลต่อการสูญเสียความสามารถในการกำหนดวาระของกระบวนการเจรจา ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในซิมบับเวและนามิเบีย 

แทมโบและ ANC เริ่มต้นด้วยการผลักดันปฏิญญาฮาราเร (Harare declaration) ซึ่งวางพื้นฐานของการเจรจาและบรรยากาศที่เอื้อต่อการเจรจาสันติภาพ ประกอบไปด้วยการปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองอย่างไม่มีเงื่อนไข การยกเลิกการแบนองค์กรอย่าง ANC การถอนกำลังทหารออกจากเขตเมือง การยุติประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ยกเลิกกฎหมายที่กดขี่และการยุติการพิจารณาคดีการเมืองและการประหารชีวิต เมื่อบรรยากาศที่เอื้อต่อการเจรจาเกิดขึ้นแล้ว ตัวแทนของทุกฝ่ายจะนั่งลงเพื่อเจรจาในการสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ต้องวางอยู่บนหลักการที่ยอมรับได้ ปฏิญญาดังกล่าวยังระบุถึงลำดับความสำคัญของการดำเนินการ ดังนี้

  • กระบวนการต้องเริ่มต้นด้วยการหารือเบื้องต้นเพื่อให้บรรลุการระงับการสู้รบ ซึ่งจะช่วยให้เกิดข้อตกลงเกี่ยวกับหลักการรัฐธรรมนูญพื้นฐานที่จะรองรับระบอบการปกครองใหม่
  • แต่ละฝ่ายสามารถกำหนดเวทีที่จะร่างรัฐธรรมนูญใหม่
  • เปิดช่องให้มีการพิจารณาการมีส่วนร่วมของชุมชนระหว่างประเทศ
  • สามารถจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวเพื่อกำกับการร่างและการรับรองรัฐธรรมนูญใหม่ และปกครองประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่าน

รัฐบาลเดอ เคลิร์กส่งสัญญาณในทางบวกต่อข้อเรียกร้องดังกล่าว เดือนตุลาคม 1989 นักโทษการเมืองกลุ่มแรกได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำโดยไม่มีเงื่อนไข แม้แมนเดลายังไม่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำแต่เขาได้พบกับเดอ เคลิร์กและสามารถให้บุคคลภายนอกเข้าพบได้อย่างไม่มีข้อจำกัดซึ่งเป็นผลดีต่อการเตรียมการเจรจาขั้นต้น วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1990 เดอ เคลิร์กประกาศยกเลิกการแบนขบวนการปลดปล่อย มีการปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองและมาตรการต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการเจรจา จากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมาแมนเดลาจึงได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ

ขจัดอุปสรรคการเจรจาก่อนเปิดเกมคุยอย่างเป็นทางการ

2 พฤษภาคม 1990 การประชุมอย่างเป็นทางการระหว่าง ANC และรัฐบาลเริ่มต้นขึ้นที่กรูท สคูร์ เมืองเคปทาวน์ใช้เวลาสามวันในการถกเถียงอุปสรรคของการเจรจา ถอดบทเรียนว่า เหตุใดการพูดคุยเช่นนี้ถึงไม่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และมีการทำข้อตกลงที่ต่อมารู้จักกันในชื่อบันทึกกรูท สคูร์ (Groote Schuur Minute) ประกอบด้วยประเด็นสำคัญเช่น ANC จะทบทวนนโยบายการต่อสู้แบบติดอาวุธ มีคณะทำงานร่วมในการกำหนดประเภทความผิดทางการเมือง (Political offences) การปล่อยตัวนักโทษการเมืองและนิรโทษกรรม และฝ่ายรัฐบาลที่ย้ำความตั้งใจในการทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวกับความมั่นคง รวมถึงเปิดทางให้ผู้ลี้ภัยกลับประเทศ ข้อตกลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาที่แก้ยากลำบากสามารถคลี่คลายได้อย่างสันติด้วยการเจรจา

แม้จะมีข้อตกลงที่ก้าวหน้าขึ้น หากความไม่ไว้ใจระหว่างกันยังคงอยู่ เหตุผลหนึ่งคือความรุนแรงที่ยังดำเนินอยู่และไม่ลดน้อยลง แมนเดลาระบุว่า ขณะที่รัฐบาลพูดถึงสันติภาพและการเจรจานั้นยังก่อสงครามกับคนผิวดำอยู่ ซึ่งไม่แน่ชัดว่า ความรุนแรงดังกล่าวเป็นเพราะรัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้หรือเป็นหนึ่งในแผนการที่จงใจกระทำ ระหว่างนี้มีเหตุการณ์ที่สร้างความคลางแคลงใจอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดวันที่ 6 สิงหาคม 1990 รัฐบาลและ ANC มีการพูดคุยในประเด็นดังกล่าวและวางตกลงร่วมกัน รู้จักกันในชื่อ บันทึกพรีทอเรีย (Pretoria minute) รายละเอียดทำนองว่า ปัญหาและอุปสรรคใดๆ ที่ ANC กล่าวถึง ซึ่งเป็นผลในการสกัดกั้นการเจรจาจะต้องถูกแก้ไข

เดือนพฤศจิกายน 1991 เป็นเดือนที่กำหนดให้มีการประชุมเพื่อประชาธิปไตยแห่งแอฟริกาใต้หรือโคเดซา (Convention for a Democratic South Africa – CODESA) เป็นการพูดคุยเรื่องรัฐธรรมนูญที่มีหลายฝ่ายและพรรคการเมืองเข้าร่วม หากก่อนการประชุมมีข้อกล่าวหาว่า NP และ ANC ทำข้อตกลงลับทำให้การประชุมดังกล่าวเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 20-21 ธันวาคม 1991 แทน หลังการเลื่อนประชุมมีการพูดคุยระหว่าง NP และ ANC จนนำสู่การร่างข้อเสนอปฏิญญาว่าด้วยเจตนารมณ์ (Declaration of intent) “เราตกลงว่า โคเดซาจะจัดตั้งกลไกการดำเนินการซึ่งจะรวมถึงรัฐบาล โดยมีหน้าที่กำหนดขั้นตอนและร่างเนื้อหาของกฎหมายทั้งหมด รวมทั้งการกระทำทางบริหารและการปกครองที่จำเป็นเพื่อให้การตัดสินใจของโคเดซามีผล”

ซึ่งนำสู่ความกังวลใจของฝ่ายพรรคการเมืองเนื่องจากเป็นการให้อำนาจโคเดซาร่างกฎหมาย ขณะที่แมนเดลามองว่า ความก้าวหน้าของการเจรจานั้นสัมพันธ์กับการที่ผลการตัดสินใจใดๆ ภายในโคเดซาซึ่งมีผลบังคับในทางกฎหมาย ส่วน ANC มองว่า หากไม่มีการรับประกันผลลัพธ์ทางกฎหมาย การเจรจาจะถูกลดทอนเป็นเพียงเวทีพูดคุยเท่านั้น (Talk shop) ท้ายที่สุดรัฐบาลยินยอมให้โคเดซาร่างกฎหมายที่จำเป็นเพื่อให้การตัดสินใจในที่ประชุมมีผลบังคับ หลังจากที่เลื่อนมาหนึ่งครั้งวันที่ 20-21 ธันวาคม 1991 การประชุมดังกล่าวก็จัดขึ้นตามกำหนด มีเนื้อหาวาระการประชุม เช่น หลักการของรัฐธรรมนูญทั่วไป องค์กรหรือกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ การจัดการช่วงเปลี่ยนผ่านหรือรัฐบาลชั่วคราวและบทบาทของประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงแนวทางการหาฉันทามติร่วมกัน  

ทั้งนี้ในวันประชุมโคเดซา เดวิด เดอ วิลิเยร์ (David de Villiers)  ผู้แทนจาก NP พรรคการเมืองที่บังคับใช้นโยบายแบ่งแยกสีผิว (Apartheid)  กล่าวแสดงความเสียใจและขอโทษอย่างเป็นทางการสำหรับนโยบายการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ แต่ในเวทีเดียวกันเดอ เคลิร์ก นายกรัฐมนตรีโจมตี ANC ว่า ANC ยังไม่ยุติการต่อสู้แบบติดอาวุธ ซึ่งละเมิดบันทึกพรีทอเรียเป็นผลให้แมนเดลาตอบโต้ด้วยภาษาที่โกรธเกรี้ยวที่สุดเท่าที่เคยใช้ต่ออีกฝ่ายในที่สาธารณะ สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดและความไม่ไว้วางใจระหว่างฝ่ายการเมืองต่างๆ การประชุมโคเดซายังมีการลงนามในปฏิญญาว่าด้วยเจตนารมณ์ (Declaration of intent) โดยถือเป็นข้อตกลงที่ตัดขาดแอฟริกาใต้จากอดีตของการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ รวมถึงยังผูกมัดทุกฝ่ายกับหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยแบบหลายพรรคที่แท้จริงโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ มีรัฐธรรมนูญเป็นบทบัญญัติสูงสุดและประกันการเลือกตั้งตามวาระ ถ้อยแถลงนี้ในบริบทของแอฟริกาใต้แล้วถือเป็นการปฏิวัติ และมันเป็นกลายเป็นอารัมภบทของรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยฉบับแรก

นอกจากนี้ยังข้อเรียกร้องของเฮเลน ซุซมาน (Helen Suzman) สมาชิกรัฐสภาที่เรียกร้องให้มีการเพิ่มบทบาทของผู้หญิงเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติทางเพศ

การประชุมได้จัดตั้งคณะทำงานห้ากลุ่มและคณะกรรมการบริหาร โดยคณะทำงานที่หนึ่งพิจารณาการสร้างบรรยากาศสำหรับการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เสรีและบทบาทของประชาคมระหว่างประเทศ คณะทำงานที่สองได้รับมอบหมายให้สำรวจหลักการรัฐธรรมนูญและองค์กรร่างรัฐธรรมนูญ คณะทำงานที่สามดูแลเรื่องรัฐบาลชั่วคราว คณะทำงานที่สี่ พิจารณาเรื่องอนาคตของ Homelands (ส่วนหนึ่งของนโยบายการแบ่งแยกการพัฒนา (Separate Development) ภายใต้ระบบแบ่งแยกสีผิว) และคณะทำงานที่ห้าดูแลเรื่องกรอบเวลา ในแต่ละคณะทำงานพรรคการเมืองมีสิทธิมีผู้แทนสองคนและที่ปรึกษาสองคน และในคณะกรรมการบริหารประกอบด้วยผู้แทนหนึ่งคนและที่ปรึกษาหนึ่งคนจากแต่ละพรรค 

ทั้งนี้การประชุมโคเดซาครั้งที่หนึ่งสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ในการประชุมทั้งหมด กลายเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เกือบทุกฝ่ายการเมืองแสดงเจตจำนงอย่างแน่วแน่ในการเจรจาเพื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

เจรจารัฐธรรมนูญชั่วคราว กำหนดเส้นทางเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ 

กระบวนการก่อนการเลือกตั้งสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเขียนรัฐธรรมนูญใหม่นั้น ฝ่ายการเมืองมีการเจรจาต่อรองในเรื่องกระบวนการโดยจะต้องมีฉันทามติเพื่อนำไปสู่รัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งจะวางหลักการของแอฟริกาใต้ในยุคหลังการแบ่งแยกสีผิวและกำหนดขั้นตอนหรือกระบวนการที่จะนำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ที่มา : World Economic Forum
| Creative Commons

เดือนมกราคม 1992 ANC ยื่นข้อเสนอเรื่องรัฐบาลชั่วคราว รูปแบบขององค์กรร่างรัฐธรรมนูญและกรอบระยะเวลาในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ NP โต้แย้งข้อเสนอดังกล่าว สถานการณ์มาถึงทางตันในการประชุมโคเดซาครั้งที่สองที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ โดยมีข้อพิพาทเรื่องเสียงข้างมากพิเศษ (Supermajority) ที่จะต้องใช้สำหรับสภาในการรับรองรัฐธรรมนูญ สถานการณ์แย่ลงไปอีกในวันที่ 17 มิถุนายน 1992 มีเหตุสังหารหมู่ที่บอยพาทง (Boipatong massacre) โดย ANC กล่าวหาว่า รัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ตามด้วยยกเลิกการพูดคุยทั้งทวิภาคีกับรัฐบาลและพหุภาคีในกลไกโคเดซา

ท้ายที่สุดในเดือนเมษายน 1993 ทุกฝ่ายได้กลับมาเจรจากันอีกครั้ง มีการแทนที่โคเดซาด้วยการประชุมกระบวนการเจรจาแบบหลายฝ่าย (Multi-Party Negotiating Process-MPNP) ซึ่งกระบวนการใหม่นี้มีประสิทธิภาพมากกว่า วันที่ 1 เมษายน 1993 การประชุมเริ่มต้นขึ้น มีการระบุปัญหาที่จำเป็นจะต้องได้รับการพิจารณาและโครงสร้างที่จำเป็นในกระบวนการเจรจาครั้งใหม่ โครงสร้าง MPNP จะเปลี่ยนจากการทำงานรายประเด็นในคณะทำงานของโคเดซาเป็นสภาเจรจาแทน  (Negotiating council) สภาดังกล่าวมีหน้าที่ในการรายงานขึ้นไปยังที่ประชุมการเจรจา (Negotiating forum) ซึ่งที่ประชุมนี้จะมีหน้าที่ในการสรุปข้อตกลง โดยข้อตกลงทั้งหมดที่เจรจากันจะได้รับการรับรองโดยที่ประชุมเต็มคณะ (Plenary)

MPNP มีการจัดตั้งคณะกรรมการด้านเทคนิค (Technical committee) ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองอันเป็นกลไกอำนวยความสะดวกที่ไม่มีในโคเดซา พรรคต่างๆ ได้ยื่นข้อเสนอเป็นลายลักษณ์อักษรและคณะกรรมการจะนำมาพิจารณา ประโยชน์ของกลไกนี้คือ รายงานจากคณะกรรมการเทคนิคจะคำนึงถึงมุมมองของทุกฝ่าย และคณะกรรมการสามารถทำหน้าที่เป็นผู้แสวงหาการประนีประนอมและกลไกในการฝ่าออกจากทางตัน  

ต่อมาเดือนมิถุนายน 1993 สภาเจรจาได้มีมติว่า MPNP จะต้องรับหลักการรัฐธรรมนูญ รวมถึงหลักการของรัฐบาลภูมิภาค ที่จัดให้มีทั้งรัฐบาลภูมิภาคที่เข้มแข็งและรัฐบาลระดับชาติที่เข้มแข็ง และได้สั่งการให้คณะกรรมการด้านเทคนิคให้การวางกรอบร่างรัฐธรรมนูญสำหรับการเปลี่ยนผ่านที่จะต้องมีบทบัญญัติ เช่น ที่มาสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ (Constitutional assembly) และรัฐบาลสำหรับการเปลี่ยนผ่าน ในประเด็นเรื่องสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการเทคนิคแนะนำให้มีการจัดตั้งองค์กรร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยการประชุมร่วมกันของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยสภาผู้แทนราษฎรจะประกอบด้วยผู้แทน 400 คน ในระบบบัญชีรายชื่อ วุฒิสภาจะประกอบด้วยผู้แทนภูมิภาคละสิบคน ซึ่งได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมจากสภานิติบัญญัติระดับภูมิภาค 

คณะกรรมการยังได้เสนอให้จัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญ หนึ่งในหน้าที่สำคัญคือการตรวจสอบให้ร่างรัฐธรรมนูญสอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญที่เคยตกลงกันไว้ ร่างดังกล่าวยังเสนอให้จัดตั้งคณะกรรมาธิการว่าด้วยรัฐบาลส่วนภูมิภาค ซึ่งสามารถให้ข้อเสนอแนะต่อองค์กรร่างรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนและเขตของภูมิภาคต่างๆ รวมถึงอำนาจ หน้าที่ของโครงสร้างระดับภูมิภาคเหล่านั้น ข้อเสนอของคณะกรรมการเทคนิคระบุด้วยว่า องค์กรร่างรัฐธรรมนูญที่ได้รับการเลือกตั้งมีอำนาจสูงสุดและมีอำนาจร่างและรับรองรัฐธรรมนูญใหม่ภายใต้หลักการรัฐธรรมนูญที่ตกลงกันไว้เท่านั้น รัฐธรรมนูญจะต้องได้รับการรับรองภายในสองปีด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่สองในสาม และมีการพิจารณากลไกการแก้ไขปัญหาทางตันเพื่อให้แน่ใจว่าการรับรองจะเกิดขึ้น

เดือนพฤศจิกายน 1993 มีการบรรลุข้อตกลงซิกซ์แพค (Six pack agreement) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการพูดคุยแบบทวิภาคีที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งระหว่างเดอ เคลิร์กและแมนเดลา โดยแมนเดลาและ ANC ยอมประนีประนอมในข้อเสนอเรื่องการปรับโครงสร้างราชการ ขณะที่ NP ยอมถอยเรื่องการยับยั้งของเสียงส่วนน้อย (Minority veto) และการเปลี่ยนให้มีการร่วมปกครองโดยสมัครใจ  ทำให้เหลือประเด็นสำคัญในการถกเถียงเพื่อบรรลุข้อตกลงคือ กลไกการแก้ไขทางตันทางการเมือง เสียงข้างมากในการตัดสินใจและคณะรัฐมนตรี และประเด็นเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่น กระบวนการเจรจาต่อรองดำเนินเรื่อยมา

จนกระทั่งเช้าตรู่ของวันที่ 18 พฤศจิกายน 1993 ผู้นำของฝ่ายการเมืองต่างลงนามในข้อตกลงสุดท้ายเกี่ยวกับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและรัฐธรรมนูญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของแอฟริกาใต้ ข้อตกลงนี้ได้วางรากฐานสำหรับรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวซึ่งแก่นแท้ของมันคือ สนธิสัญญาสันติภาพที่พยายามลดระดับความขัดแย้งยาวนานของแอฟริกาใต้  โดยยังกำกับว่า เนื้อหารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่สมัชชารัฐธรรมนูญร่างขึ้นต้องเป็นไปตามหลักการในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งหากเนื้อหาต่างหรือละเมิดหลักการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่สามารถรับรองรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้

เลือกผู้แทนเขียนรัฐธรรมนูญใหม่แบบประชาธิปไตย-ไม่กีดกันสีผิวครั้งแรก

มาตรา 68 (1) ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวบัญญัติทำนองว่า การประชุมร่วมของสองสภาคือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะถือเป็นสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ  เป็นผลสมาชิกรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนเมษายน 1994 จะต้องทำหน้าที่เป็นสมาชิกสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ จำนวนสมาชิกแบ่งเป็นสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 400 คน เป็นการเลือกแบบบัญชีรายชื่อ และวุฒิสภาจำนวน 90 คนที่สภานิติบัญญัติระดับภูมิภาคเลือกมาภูมิภาคละสิบคน จำนวนที่นั่งในวุฒิสภาจะมีการจัดสรรตามสัดส่วนของพรรคการเมืองที่มีตัวแทนในสภานิติบัญญัติระดับภูมิภาค ในเวลานี้ ANC เปลี่ยนจากองค์กรปลดปล่อยมาเป็นพรรคการเมืองได้เสียงรวมสองสภา 312 ที่นั่ง ขณะที่พรรครัฐบาลเดิมอย่าง NP ได้ที่นั่งรวม 99 ที่นั่ง 

ที่มา : United Nations Photo | Creative Commons
ที่มา : United Nations Photo | Creative Commons

ในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้าย สมัชชาร่างรัฐธรรมนูญต้องทำงานภายใต้กรอบทางรัฐธรรมนูญชั่วคราว วัตถุประสงค์ของสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญคือการสร้างรัฐธรรมนูญที่จะทั้งชอบธรรม และความยืนยาวของรัฐธรรมนูญขึ้นอยู่กับระดับความน่าเชื่อถือของการร่างเอง นอกจากนี้การที่ตัวบทสุดท้ายได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายถือว่ามีความสำคัญ และเพื่อให้มีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ จะต้องเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ทั้งนี้การร่างตัวบทรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายต้องสอดคล้องกับหลักการในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว

มาตรา 73(1) ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวกำหนดให้สมัชชาร่างรัฐธรรมนูญต้องทำงานให้เสร็จสิ้นภายในสองปีนับจากการประชุมครั้งแรกของสภาผู้แทนราษฎร ในช่วงเริ่มต้นของงานในสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ บางคนแสดงความกังวลว่าอาจมีเวลาไม่เพียงพอที่จะทำงานให้เสร็จ แต่การขยายเวลาใดๆ จะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ดังนั้นทุกฝ่ายจึงสรุปว่า สมัชชาควรทำงานให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด พรรคต่างๆ วางแผนงานที่คาดการณ์ไว้สามระยะได้แก่ หนึ่ง การรวบรวมมุมมองจากผู้ที่มีบทบาททั้งหมดมาเป็นตัวบท สอง การเผยแพร่ร่างตัวบทฉบับแรกและการเชิญชวนให้แสดงความคิดเห็นจากสาธารณะเพิ่มเติมและสาม สมัชชารัฐธรรมนูญมีการเจรจาและรับรองรัฐธรรมนูญในขั้นสุดท้าย

หลักการพื้นฐานของกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่มีสามหลักการ ดังนี้ 

  • การมีส่วนร่วมของทุกคน (Inclusivity) รัฐธรรมนูญใหม่จะต้องเป็นดอกผลของการรวบรวมความคิดของผู้มีบทบาทสำคัญทั้งหมด สมัชชาร่างรัฐธรรมนูญได้กำหนดผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการสามประเภท ได้แก่ หนึ่ง พรรคการเมืองที่มีตัวแทนในสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ สอง พรรคการเมืองที่ไม่มีที่นั่งในสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญและภาคประชาสังคม และสาม พลเมืองแอฟริกาใต้
  • การเข้าถึง (Accessibility) เพียงแค่เชิญให้ประชาชนส่งความคิดเห็นนั้นยังไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องตั้งใจในการเข้าถึงและขอความคิดเห็นจากประชาชน เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนี้มีการออกแบบแคมเปญสื่ออย่างละเอียดเพื่อเข้าถึงชาวแอฟริกาใต้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
  • ความโปร่งใส (Transparency) การประชุมทั้งหมดของสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญและโครงสร้างที่เกี่ยวข้องเปิดให้สาธารณชนเข้าถึงได้ สมัชชาร่างรัฐธรรมนูญเผยแพร่เอกสารทั้งหมดผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น รายงานการประชุม รายงาน และการเสนอความคิดเห็นต่างๆ  

รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวกำหนดให้ผู้แทนที่ได้รับเลือกตั้งจะต้องจัดตั้งโครงสร้างเฉพาะสองรูปแบบเพื่อการร่างและการรับรองรัฐธรรมนูญใหม่ ได้แก่ สมัชชาร่างรัฐธรรมนูญและคณะทำงานอิสระของผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้แล้วยังมีคณะกรรมการต่างๆ เช่น

  • คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (Constitutional committee) เป็นโครงสร้างหลักในการเจรจาและประสานงานที่รายงานตรงต่อสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยสมาชิก 44 คนที่ได้รับการแต่งตั้งจากพรรคการเมืองตามสัดส่วนที่ได้เลือกตั้งเข้ามา คณะกรรมการมีหน้าที่ในการรับรายงานจากคณะกรรมการรายประเด็นและทำหน้าที่เป็นโครงสร้างในการตัดสินใจ
  • คณะกรรมการรายประเด็น (Theme committee) ที่แต่ละคณะจะทำงานในเนื้อหารัฐธรรมนูญที่แตกต่างกัน แต่ละคณะจะมีสมาชิก 30 คนแต่งตั้งโดยพรรคการเมืองตามสัดส่วนที่ได้เลือกตั้งเข้ามา หนึ่งในหน้าที่ที่สำคัญคือ การทำให้แน่ใจว่า การมีส่วนร่วมในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่เกิดขึ้นจริง โดยการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอจากผู้มีบทบาทแต่ละกลุ่ม สาธารณชนและภาคประชาสังคมได้รับเชิญให้ส่งข้อเสนอของพวกเขา ท้ายที่สุดคณะกรรมการได้รับข้อเสนอจำนวนมากมาจากประชาชนในภาษาราชการทั้ง 11 ภาษาของแอฟริกาใต้ ซึ่งถูกประมวลออกมาเป็นรายงาน วิเคราะห์ความเห็นสอดคล้องและขัดแย้ง 
  • คณะกรรมการจัดการ (Management committee) จัดตั้งขึ้นเพื่อรับมือกับปัญหาในเชิงกระบวนการมากกว่าเนื้อหา หนึ่งในหน้าที่คือ การทำให้มั่นใจว่า สมัชชาร่างรัฐธรรมนูญทำงานได้ในกรอบเวลาที่ตกลงกันไว้

กระบวนการในสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญดำเนินไปจนได้ร่างรัฐธรรมนูญออกมาฉบับหนึ่ง แต่ยังมีข้อถกเถียงที่ต้องแสวงหาฉันทามติระหว่างทาง เช่น ประเด็นการประหารชีวิต การศึกษาและการแต่งตั้งผู้พิพากษา ต่อมาวันที่ 8 พฤษภาคม 1996 เนื้อหาสุดท้ายของรัฐธรรมนูญผ่านการรับรองและต้องผ่านการตรวจสอบเนื้อหาว่า เป็นไปตามหลักการที่กำหนดจากศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งหนึ่งและศาลรับรองในวันที่ 4 ธันวาคม 1996 จากนั้นในวันที่ 10 ธันวาคม 1996 เนลสัน แมนเดลาลงนามในรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายที่เฟอเรียเนอคังที่ครั้งหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสนธิสัญญาสันติภาพแรก โดยรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1996

บรรณานุกรม

Apartheid Museum. (n.d.). The Homelands. https://www.apartheidmuseum.org/exhibitions/the-homelands

Althingi. (n.d.). Atkvæðagreiðsla. https://www.althingi.is/thingstorf/thingmalin/atkvaedagreidsla/?nnafnak=44294

Árnason, Á. Þ., & Dupré, C. (Eds.). (2020, October 12). Icelandic Constitutional Reform: People, Processes, Politics. Routledge.

Bartlett, J. (2023, August 21). ‘Gigantic step backwards’: Far-right gains in Chile threaten abortion rights. The Guardianhttps://www.theguardian.com/global-development/2023/aug/21/chile-far-right-new-consitution-abortion

Bartlett, J. (2023, December 18). Chile votes to reject new conservative constitution which threatened rights of women. The Guardianhttps://www.theguardian.com/world/2023/dec/18/chile-votes-reject-conservative-constitution-referendum-womens-rights

Britannica. (n.d.). Iceland in History. https://www.britannica.com/place/Iceland/European-integration

ConstitutionNet. (n.d.). Constitutional history of Chile. https://constitutionnet.org/country/constitutional-history-chile

European Commission for Democracy Through Law (Venice Commission). (2013, March 11). Opinion on the draft new Constitution of Iceland. https://www.venice.coe.int/webforms/documents/default.aspx?pdffile=CDL-AD(2013)010-e

González, J. A. (2023). Chileans rejected a second attempt to change their Constitution – politics are now likely to refocus on different matters. Friedrich Naumann Foundation for Freedom. https://www.freiheit.org/latin-america/chileans-rejected-second-attempt-change-their-constitution-politics-are-now-likely

Suárez Delucchi, A. (2024). The Chilean Constitutional Convention: An exercise for the pluriverse. Global Studies Quarterly, 4(3), ksae071. https://doi.org/10.1093/isagsq/ksae071

Universidad Adolfo Ibáñez. (n.d.). Agreement for Social Peace and a New Constitution. https://www.uai.cl/noticias/derecho/agreement-for-social-peace-and-a-new-constitution

Verdugo, S. (2023). Chile’s New Constitutional Proposal: A Balance Between Change and Continuity? ConstitutionNet. https://constitutionnet.org/news/chiles-new-constitutional-proposal-balance-between-change-and-continuity

Villegas, A., & Ramos Miranda, N. A. (2023, December 17). Chileans reject conservative constitution to replace dictatorship-era text. Reutershttps://www.reuters.com/world/americas/chileans-head-polls-again-replace-dictatorship-era-constitution-2023-12-17/

Wikipedia. (n.d.). 2021 Chilean Constitutional Convention election. Retrieved March 2, 2025, from https://en.wikipedia.org/wiki/2021_Chilean_Constitutional_Convention_election

Wikipedia. (n.d.). 2023 Chilean Constitutional Council election. Retrieved March 2, 2025, from https://en.wikipedia.org/wiki/2023_Chilean_Constitutional_Council_election

Wikipedia. (n.d.). Iceland. Retrieved March 2, 2025, from https://en.wikipedia.org/wiki/Iceland

Constitution of the Republic of South Africa, Act 200 of 1993. (1993). https://peacemaker.un.org/sites/default/files/document/files/2022/07/zainterimconstitution1993_2.pdf

Ebrahim, H. (1999). The Soul of a Nation: Constitution-making in South Africa (1st ed.). Oxford University Press.

Gloppen, S. (2019, May 23). South Africa: The Battle over the Constitution. Routledge.

South African History Online. (n.d.). The Drafting and Acceptance of the Constitution. https://www.sahistory.org.za/article/drafting-and-acceptance-constitution

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

บทความยอดนิยม

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage