1 ปีเต็มในเรือนจำ “ไบรท์” ผู้เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น “ชินวัตร” ยอมย้ายข้าง? ถูกขังเหมือนเดิม 

ชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือชื่อเล่นว่า “ไบรท์” นับถึงวันที่ถูกคุมขังครบปีก็อายุได้ประมาณ 32 ปี ชีวิตของเขาอยู่บนถนนการเมืองมาตั้งแต่อายุ 15 ปี ติดตามข่าวสารการเมือง เข้าร่วมการชุมนุม ถูกจับกุมคุมขังมาหลายครั้ง และถูกดำเนินคดีมาตรา 112 รวมแล้ว 9 คดี ชีวิตเขาเริ่มจากการเป็น “คนเสื้อแดง” ตั้งแต่วัยรุ่นในยุคที่คนรุ่นใหม่สนใจการเมืองและเรื่องประชาธิปไตยไม่มาก จนมาเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่ม “ชูสามนิ้ว” และต่อมา “ย้ายข้าง” ไปร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ 

1 ปีเต็มในเรือนจำ “ไบรท์” ผู้เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น “ชินวัตร” ยอมย้ายข้าง? ถูกขังเหมือนเดิม 

ไบรท์ เป็นคนนนทบุรีตั้งแต่เกิด พ่อกับแม่ของเขาแยกทางกันทำให้เขาต้องอยู่อาศัยกับตา ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีและเขาต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เด็ก ไบรท์ เริ่มสนใจการเมืองตั้งแต่อายุ 15 ปี จากเหตุการณ์ปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาลของทักษิณ ชันวิตร 19 กันยายน 2549 เขาเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม “นนทบุรีปกป้องความเป็นธรรม” เขาเคยเป็นแกนนำกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กวป. รุ่น 2 ในช่วงที่ทักษิณ ชินวัตรไม่สามารถอยู่ในประเทศไทยได้ เขาไปเปลี่ยนชื่อจริงของตัวเองเป็น “ชินวัตร” เพื่อต้องการจะช่วยยืนยันว่าในประเทศนี้จะยังคงมีชื่อนี้อยู่ ก่อนการรัฐประหารในปี 2557 เขาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงที่ถนนอักษะ ได้ขึ้นปราศรัยบนเวที และหลังการรัฐประหารไบรท์กับเพื่อนก็เข้าร่วมการชุมนุมคัดค้านการรัฐประหารของ คสช. จนเขาถูกประกาศเรียกตัวไปคุมขังในค่ายทหาร และบทบาททางการเมืองของเขาในยุคคสช. ก็น้อยลงไป

ไบรท์ปรากฎตัวมาบนถนนการเมืองอีกครั้งในยุคการชุมนุมแบบ “ไม่มีแกนนำ” ช่วงของการชูสามนิ้วที่นำโดยคนรุ่นใหม่ ในช่วงปี 2563-2564 ซึ่งเขาอายุราว 28 ปี ถือว่ามีประสบการณ์บนท้องถนนมามากกว่านักศึกษาระดับปริญญาตรีที่เป็นผู้จัดการชุมนุมในช่วงเวลานั้น และด้วยลีลาปราศรัยที่ดุดันทำให้ไบรท์ได้รับโอกาสเป็นผู้ถือไมโครโฟนปราศรัยหลายเวที จนกระทั่งกลุ่มผู้ชุมนุมใช้นโยบาย “ทะลุเพดาน” ปราศรัยถึงประเด็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และไบร์ก็เป็นหนึ่งในคนที่พูดถึงประเด็นนี้ด้วย 

แม้ว่าไบรท์จะไม่ได้เป็นระดับ “หัวหน้า” ที่มีอำนาจสั่งการ หรือมีกลุ่มสังกัดที่มีกำลังคนเข้มแข็งจนรัฐต้องหวาดกลัว แต่ด้วยสิ่งที่เขาพูดหลายๆ ครั้งก็ทำให้เขาครองสถิติถูกดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 มากเป็นอันดับที่สี่

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน บันทึกข้อมูลว่า ไบรท์ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 รวมอย่างน้อยเก้าคดี

ระหว่างการเคลื่อนไหวบนเส้นทางนี้ไบรท์ยังถูกจับกุมตัวและต้องเข้าเรือนจำอย่างน้อยสามครั้ง ครั้งที่หนึ่ง วันที่ 1 สิงหาคม 2565 ไบร์ทถูกจับกุมตามหมายจับจากเหตุการปราศรัยในกิจกรรมเรียกร้องสิทธิการประกันตัวให้กับเนติพรหรือ บุ้ง และ “ใบปอ” หลังถูกจับกุมศาลอาญากรุงเทพใต้ไม่อนุญาตให้ประกันตัว ทำให้ไบรท์ถูกส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 26 วัน ก่อนได้รับอนุญาตให้ประกันตัวออกจากเรือนจำในเวลาต่อมา ครั้งที่สอง ไบรท์ถูกกล่าวหาจากการปราศรัยถึงการได้มาซึ่งรัฐสวัสดิการว่า จำเป็นจะต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญก่อน ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 บริเวณห้าแยกลาดพร้าว หลังศาลอาญาพิพากษาให้ไบรท์มีความผิด ตามมาตรา 112 เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2566 เขาถูกส่งตัวไปเรือนจำสองวัน ก่อนได้รับประกันตัว

และครั้งที่สาม ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เมื่อศาลอาญาพิพากษาให้ไบรท์มีความผิดตามมาตรา 112 ฐานปราศรัยที่หน้าธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ จากนั้นไบรท์ถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพและยังไม่ได้รับประกันตัวอีกเลย เขาถูกคุมขังในรอบนี้มาครบหนึ่งปีเต็ม

ในช่วงปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่มีการเลือกตั้งใหญ่ ระหว่างนั้นการชุมนุมของกลุ่มที่ชูสามนิ้วและเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ลดลงไปมากแล้ว นักปราศรัยร่วมรุ่นหลายคนถูกดำเนินคดีจำนวนมาก บางคนถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ และบางคนลี้ภัยไปต่างประเทศ ไบรท์ตัดสินใจไปช่วยงานหาเสียงกับผู้สมัครสส. จากพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคการเมืองที่เสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ และพรรคการเมืองที่ชัดเจนเข้มแข็งว่า จะไม่ยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 และจะไม่นิรโทษกรรมให้ผู้ต้องหามาตรา 112 ด้วย และหลังจากนั้นเขาก็ทยอยโพสเฟซบุ๊กแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่องนอกจากนี้หลังได้รัฐบาลใหม่ที่เกิดจากการ “ผสมข้ามขั้ว”

ไบรท์ยังเปิดร้านขายส้มตำชื่อ “แซ่บไบรท์” และทำกิจกรรมนัดพบปะพูดคุยระหว่างขั้วการเมือง “เหลือง-แดง” กิจกรรมนี้คล้ายเป็นการประกาศเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ “สีส้ม” คือพรรคก้าวไกล พรรคการเมืองเดียวที่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112  และการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ซึ่งจะเป็นหนทางที่จะช่วยให้เขาไม่ต้องรับโทษในคดีที่เผชิญอยู่ ทำให้ไบรท์ตกเป็นเป้าโจมตีจากผู้คนในฝั่งที่เขาเคยร่วมเคลื่อนไหวโดย ไบรท์ถูกโจมตีว่า ตัดสินใจ “ย้ายข้าง” เพราะ “รับเงิน” หรืออาจจะเพราะต้องการประนีประนอมเพื่อหาทางที่เขาไม่ต้องรับโทษจากคดีมาตรา 112 ทั้งเก้าคดีของเขา รวมทั้งคดีฐานฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และคดีอื่นๆ จากการชุมนุมรวมกว่า 30 คดี

หลังช่วงเวลาที่ไบร์ร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว เมื่อขึ้นศาลไบรท์ขอถอนคำให้การของเขาในหลายคดีและขอ “รับสารภาพ” ในคดีมาตรา 112 ทั้งหมด โดยมีเพื่อนร่วมงานในพรรคการเมืองของเขาคอยดูแลคดีและหลักทรัพย์ในการยื่นขอประกันตัว เมื่อไบรท์ต้องไปศาลก็สังเกตได้ว่า มิตรสหายที่เคยแวะมาทักทายหรือให้กำลังใจกันมีน้อยลง และเมื่อไบรท์ต้องถูกคุมขังในเรือนจำก็มีคนไปเยี่ยมเยียนน้อยลง ระหว่างที่อดีต “เพื่อน” ที่เคยร่วมชุมนุมในนาม “กลุ่มราษฎร” ยังดิ้นรนต่อสู้คดีความ ไบรท์ก็ได้ทยอยฟังคำพิพากษาเรื่อยๆ

คดีมาตรา 112 ของไบรท์ เท่าที่ทราบ มีดังนี้

  1. คดีจากการปราศรัยเรียกร้องปล่อยตัวนักโทษการเมืองหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2565 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาพิพากษาเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2566 ว่ามีความผิดตามฟ้อง มีโทษจำคุกสามปี ปรับเงิน 200 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือโทษจำคุกหนึ่งปีหกเดือน และโทษจำคุกให้รอการลงโทษ ให้เว้นการกระทำลักษณะเดิม พร้อมให้ทำงานสาธารณประโยชน์ 
  2. คดีจากการร่วมร้องเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” ในกิจกรรมชื่อ “ยืนบอกเจ้าว่าเราโดนรังแก” ที่หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2565 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ว่า มีความผิดตามมาตรา 112 ให้ลงโทษจำคุกสามปี โทษจำคุกหลังลดแล้วเหลือหนึ่งปีหกเดือน 
  3. คดีจากการชุมนุม #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 ศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2566ว่า มีความผิดตามมาตรา 112 ให้ลงโทษจำคุกหกปี โทษจำคุกหลังลดแล้วเหลือสามปี 
  4. คดีจากการชุมนุม #25พฤศจิกาไปSCB ที่บริเวณหน้าสำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 ศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567ว่า มีความผิดตามมาตรา 112 ให้ลงโทษจำคุกหกปี โทษจำคุกหลังลดแล้วเหลือสามปี 
  5. คดีชุมนุมในวันที่ไปรับทราบข้อกล่าวหาที่หน้าสน.บางเขน ศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2567ว่า มีความผิดตามมาตรา 112 ให้ลงโทษจำคุกสามปี โทษจำคุกหลังลดแล้วเหลือหนึ่งปีหกเดือน 
  6. คดีจากการปราศรัยใน #ม็อบ29พฤศจิกา ปลดอาวุธศักดินาไทย ที่หน้ากรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ศาลอาญาพิพากษาในเดือนมีนาคม 2567าว่า มีความผิดตามมาตรา 112 ให้ลงโทษจำคุกหกปี ปรับเป็นพินัย 2,200 บาท จำเลยรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือสามปี ปรับเป็นพินัย 1,100 บาท 
  7. คดีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่สำนักงานอัยการสูงสุดมีเนื้อหาเกี่ยวกับการที่ในหลวงไม่ให้ใช้มาตรา 112 ศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 ว่า ให้ลงโทษจำคุกสามปี โทษจำคุกหลังลดแล้วเหลือหนึ่งปีหกเดือน 
  8. คดีปราศรัยระหว่างการ “ยืนหยุดขัง” เกี่ยวกับปัญหาการโอนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ บริเวณท่าน้ำนนท์ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 ศาลจังหวัดนนทบุรีพิพากษาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2567ว่า มีความผิดตามมาตรา 112 ให้ลงโทษจำคุกสามปี ปรับเป็นพินัย 200 บาท จำเลยรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกหนึ่งปีหกเดือน ปรับเป็นพินัย 100 บาท  
  9. คดีจากการปราศรัยในการชุมนุม #คนนนท์ท้าชนเผด็จการ บริเวณท่าน้ำนนท์ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563 ซึ่งตอนแรกไบรท์ไม่ถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 112 แต่ถูกแจ้งข้อหาเพิ่มระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ศาลจังหวัดนนทบุรียังไม่มีคำพิพากษา

จากคำพิพากษาที่มีแล้วทั้งหมดแปดคดี ไบรท์ต้องโทษจำคุกตามมาตรา 112 หลังลดโทษรวมแล้ว 15 ปี ได้รอลงอาญาหนึ่งคดี และยังไม่มีคำพิพากษาอีกหนึ่งคดี แม้ไบรท์จะ “ย้ายฝั่ง” ไปร่วมแนวทางเดียวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และยังยอมรับสารภาพทั้งหมดแล้ว แต่วิธีทางการเมืองเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เขาพ้นจากการถูกจองจำ วิธีทางกฎหมายที่จะทำให้เขาได้ออกจากเรือนจำคือ การออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมให้คดีจากการแสดงออกทางการเมือง ที่รวมคดีมาตรา 112 ด้วย

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

บทความยอดนิยม

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage