
26 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 9.37 น. คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนได้มีการประชุมพิจารณาเรื่องสิทธิการสอบของก้อง-อุกฤษฎ์ สันติประสิทธิ์กุล จำเลยคดีมาตรา 112 การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมสืบเนื่องจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ครั้งนี้มีตัวแทนจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงนำโดย รศ.จักรี ไชยพินิจ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและคณะรับมอบอำนาจเข้าร่วมประชุมแทนอธิการบดี
การประชุมเริ่มด้วยตัวแทนสภานักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงอธิบายสถานการณ์การศึกษาและการคุมขังของก้อง พร้อมทั้งเล่าถึงจดหมายฉบับล่าสุดของก้องที่ส่งผ่านทนายความเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 ใจความสำคัญคือ ก้องต้องการให้ทางมหาวิทยาลัยพิจารณาอนุมัติการสอบภายในเรือนจำ
รศ.จักรี ชี้แจงว่า การสอบไล่ภายในมหาวิทยาลัยมีการดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมบวกกับระเบียบภายในของมหาวิทยาลัย พร้อมกับชี้แจงจำนวนสถิติภาพรวมผู้ขาดสอบในแต่ละช่วงภาคเรียนการศึกษาว่า แต่ละปีการศึกษามีจำนวนผู้ที่ไม่ได้เข้าสอบกว่า 20,000 คนและมีเหตุสุดวิสัยหลายประการเช่น ภัยพิบัติ เจ็บป่วยและต้องดูแลพ่อแม่
ด้วยระเบียบที่มีของมหาวิทยาลัยและจำนวนของนักศึกษาที่มีมากทำให้มหาวิทยาลัยไม่สามารถดำเนินการสอบตามความต้องการของก้องที่เสนอต่อมหาวิทยาลัยเพียงหนึ่งคนได้ หากอนุญาตหนึ่งคนแล้วก็ต้องจัดการสอบให้กับผู้ที่ขาดสอบคนอื่นๆ ด้วยไม่อย่างนั้นอาจเกิดความไม่เท่าเทียมได้ ภายในระยะสั้นนี้การสอบของก้องเกิดขึ้นได้ยากเพราะไม่เคยมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยมาก่อนและกรมราชทัณฑ์ไม่ใช่หน่วยงานภายใต้สังกัดของมหาวิทยาลัย ฉะนั้นการสอบในเรือนจำจะเกิดขึ้นได้จึงจำเป็นต้องมีการจัดทำความร่วมมือระหว่างองค์กร (MOU) หรือจัดทำกฎระเบียบการศึกษาสำหรับผู้ต้องหาในเรือนจำอย่างมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชขึ้นก่อน
กรรมาธิการฯให้ความเห็น เช่น การจัดการสอบเพื่อผู้ต้องหานั้นเป็นสิทธิตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลที่ไทยมีการลงนามเอาไว้ ฉะนั้นก้องจึงมีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะได้รับการศึกษาภายในเรือนจำ มหาวิทยาลัยจึงต้องดำเนินการตามหลักสนธิสัญญาเหล่านี้ด้วย และในช่วงของสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาทำให้นักศึกษาไม่สามารถเดินทางเข้าสอบที่มหาวิทยาลัยได้เหมือนกันแต่ก็ยังมีนโยบายให้สามารถเรียนและสอบจากที่บ้านได้ ทำไมในเรือนจำจะไม่สามารถทำได้ หากระเบียบไม่เอื้ออำนวยก็สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ ดังนั้นการชี้แจงของมหาวิทยาลัยรามคำแหงจึงฟังไม่ขึ้น
ในภาพรวมกรรมาธิการฯ มองว่า ก้องยังคงต้องได้สอบตามคำร้อง เพราะไม่มีหน่วยงานใดที่เกี่ยวข้องมีปัญหาในเรื่องนี้ทั้งกรมราชทัณฑ์และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หากจะต้องออก MOU ก็สามารถทำได้ทันที เร็วสุดอาจสำเร็จได้ภายในหนึ่งสัปดาห์
หลังจากนี้ทางกรรมาธิการฯ จะส่งหนังสือข้อเสนอแนะไปให้กับมหาวิทยาลัย อีกทั้งมหาวิทยาลัยต้องดำเนินการรายงานความคืบหน้ากลับมาที่กรรมาธิการฯ ภายใน 15 วันหลังจากได้รับหนังสือ ฝั่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงไม่ได้มีความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่อกรรมาธิการฯ เพิ่มเติม ทำให้ยังไม่ชัดเจนว่า ก้องจะได้สอบไล่เพื่อจบการศึกษาในคณะนิติศาสตร์หรือไม่