5 มีนาคม 2565 เวลา 18.00 น. ที่ Kinjai Contemporary ภายในงานนิทรรศการของพิพิธภัณฑ์สามัญชน (Museum of Popular History) มีการจัดกิจกรรมเสวนาในหัวข้อ “จาก ครก.112 ถึง ครย.112: ทบทวน 10 ปี ข้อเสนอภาคประชาชนว่าด้วยมาตรา 112” โดยผู้ร่วมสนทนาประกอบไปด้วย พวงทอง ภวัครพันธุ์ นักวิชาการและผู้ร่วมก่อตั้ง ครก.112 และยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการ iLaw และผู้ร่วมก่อตั้ง ครย. 112 ดำเนินรายการโดย อานนท์ ชวาลาวัณย์ ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์สามัญชน
![](https://live.staticflickr.com/65535/51922302610_2e7128a809_z.jpg)
จุดเริ่มต้นของ ครก.112 และบรรยากาศทางการเมืองในช่วงเริ่มดันเพดาน
พวงทองเล่าถึงที่มาของ “ครก.112” หรือคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 ว่า การรณรงค์เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้นเริ่มต้นขึ้นในปี 2555 สืบเนื่องจากปัญหาการใช้มาตรา 112 ภายหลังรัฐประหาร 2549 ที่พุ่งสูงขึ้น มีการฟ้องร้องเพิ่มจากหลักสิบเป็นหลักร้อย และส่วนมากผู้ที่เป็นเหยื่อจากฟ้องร้องนั้นมักอยู่ในฝ่ายของคนเสื้อแดง
ในช่วงเวลาดังกล่าว ขอบเขตการพูดคุยเรื่องสถาบันกษัตริย์ในสังคมได้กว้างขวางมากขึ้น เช่น ข้อถกเถียงว่าสถาบันเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและสนับสนุนการรัฐประหาร 2549 ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่มีการนำมาตรา 112 มาใช้เพื่อโจมตีพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างพรรคไทยรักไทยของทักษิณ ชินวัตร หรือเพื่อปิดปากประชาชนที่มีความคิดต่างทางการเมืองไม่ให้วิพากษ์บุคคล หรือกลุ่มสถาบันที่เข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมือง เช่น คดีของดา ตอร์ปิโด, สมยศ พฤกษาเกษมสุข, อากง SMS ไปจนถึงการใช้มาตรา 112 จากความขัดแย้งส่วนตัว เช่น พี่ชายฟ้องน้องชายของตนเอง
ยิ่งชีพ ในฐานะผู้ติดตามและเก็บรวบรวมข้อมูลคดีมาตรา 112 เล่าว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่อมีคดีมาตรา 112 เกิดขึ้นก็มักจะไม่มีข่าวช่องใดออกเลย มีเพียงสำนักข่าวประชาไทที่รายงาน ในขณะที่สำนักข่าวอื่นๆ เช่น ผู้จัดการหรือไทยโพสต์ มักจะออกข่าวแค่วันที่จำเลยโดนจับและวันพิพากษาแต่เนื้อหาของกระบวนการพิพากษานั้นไม่เป็นที่สนใจของสังคม
นอกจากนี้ ยิ่งชีพยังสะท้อนว่าข้อแตกต่างของการเข้าไปสังเกตการณ์ในห้องพิจารณาคดีในช่วงเวลานั้นแตกต่างกับปัจจุบันที่บุคคลภายนอกสามารถเข้าไปนั่งฟังได้อย่างเต็มที่ เช่น คดีของสมยศที่จังหวัดเพชรบูรณ์ มีกลุ่มคนเสื้อแดงมารอให้กำลังใจกว่า 100 คน รวมทั้งเข้าไปนั่งฟังการพิจารณาคดีกันจนเต็มห้อง ยกเว้นบางคดีที่เป็นการพิจารณาลับ เช่น คคีของดา ตอร์ปิโด, คดีกงจักรปิศาจ ทั้งนี้ ยิ่งชีพนิยามว่าการพิจารณาคดีในยุคหลังรัฐประหาร 2557 นั้นนับว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ทั้งการไม่ได้ประกันตัว การต้องไปขึ้นศาลทหาร การพิจารณาคดีลับและกระแสสังคมที่ไม่ให้ความสนใจ
พวงทองเล่าว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับมาตรา 112 บทความทางวิชาการที่พูดถึงบทบาททางการเมืองของสถาบันกษัตริย์นั้นส่วนมากยังมีแค่ภาษาอังกฤษ ต่อมาจึงค่อยๆ ถูกแปลเป็นภาษาไทยและมีงานเขียนภาษาไทยออกมาบ้าง เช่น งานของธงชัย วินิจจะกูล กระทั่งมีการจัดวงเสวนาใหญ่ครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยกลุ่มนิติราษฎร์ ที่ได้มีการเชิญฝ่ายอนุรักษนิยมมาพูดคุยด้วยและได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าวก็ยังมีพื้นที่บนโลกออนไลน์อย่างเว็บไซต์ฟ้าเดียวกันสำหรับพูดคุยเรื่องสถาบันกษัตริย์ ประกอบกับการได้รับความร่วมมือจากกลุ่มกวีราษฎร์ ประชาไท ไอลอว์และกลุ่มอื่นๆ ที่เข้ามาช่วยกันรณรงค์ให้เพดานในการพูดถึงมาตรา 112 นั้นมีมากขึ้น
![](https://live.staticflickr.com/65535/51921681526_233aea2738_z.jpg)
สำรวจเส้นทางการล่ารายชื่อ “แก้ไข” 112
ยิ่งชีพเริ่มต้นด้วยการถามผู้ที่มาเข้าร่วมฟังว่า “มีใครทันแคมเปญแก้ 112 เมื่อเดือนมกราคม ปี 2555 บ้าง?” โดยยิ่งชีพอธิบายถึงความยากลำบากในสมัยนั้นว่า การเข้าชื่อยังต้องใช้สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านซึ่งยุ่งยากกว่าปัจจุบันที่ใช้เพียงชื่อและเลขบัตรประชาชน คณะรณรงค์ต้องใช้วิธีการเช่าเครื่องถ่ายเอกสารจากร้านถ่ายเอกสารมาเป็นอุปกรณ์ประกอบการเข้าชื่อ และผู้มาเข้าชื่อทุกคนต้องถือทะเบียนบ้านมาด้วย โดยภายหลังเสร็จสิ้นแคมเปญที่ได้มา 39,000 กว่ารายชื่อแล้วนั้น เมื่อทำการตรวจสอบเอกสาร สุดท้ายกลับเหลืออยู่ 26,000 รายชื่อ นั่นแปลว่ามีรายชื่อที่ถูกคัดออกไปเป็นหลักหมื่นรายชื่อ
ในขณะที่พวงทองเล่าว่า กลุ่มนักวิชาการได้มีการแบ่งทีมกันไปลงพื้นที่ตามภูมิภาคต่างๆ เพื่อรณรงค์และเชิญชวนให้มาเข้าชื่อ โดยมักพบปัญหา เช่น การไม่ให้ใช้สถานที่ ส่งผลให้ชาวบ้านที่มารอฟังต้องย้ายไปนั่งฟังที่วัด หรือการมีนักการเมืองท้องถิ่นเข้ามาขัดขวาง เนื่องจากเกรงว่าการยอมให้มีคนมาพูดเรื่องมาตรา 112 ในพื้นที่จะทำให้ตนเดือดร้อน แต่ทั้งนี้ในส่วนของชาวบ้านและนักกิจกรรมที่มารอฟังนั้นมีความตื่นเต้นและให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
การล่ารายชื่อดังกล่าวใช้เวลาจำนวน 112 วัน โดยมีการจัดกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันสุดท้าย รวมทั้งในวันที่นำรายชื่อไปยื่น ทางไอลอว์ได้ร่วมกับคนเสื้อแดงจัดขบวนแบกกล่องเอกสารไปยังรัฐสภา และมีคนมาร่วมขบวนในหลักร้อย แต่สุดท้ายร่างกฎหมายกลับไม่ได้ถูกบรรจุในวาระใด เนื่องจากสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ จากพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นประธานรัฐสภาในขณะนั้นระบุว่า “ร่างพ.ร.บ.แก้ไขประมวลฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ใช่ร่างกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ“
“ร่างดังกล่าวไม่มีโอกาสได้เข้าไปสู่วิวาทะหรือการถกเถียงใดๆ ในสภา นักการเมืองกลัวกันซะจนไม่เห็นหัวประชาชน พรรคการเมืองก็ไม่เคยพยายามที่จะต่อสู้ในเรื่องนี้เลย“ พวงทองกล่าว
ยิ่งชีพกล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกผิดหวังที่สภาปัดตกเพราะไม่ได้คาดหวังมากตั้งแต่แรก พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่าการต่อสู้ของ ครก.112 ได้สร้างคุณูปการสำหรับการพูดเรื่องมาตรา 112 ในที่สาธารณะเอาไว้มาก หากไม่มี ครก.112 เมื่อ 10 ปีที่แล้ว การเริ่มพูดในวันนี้ว่า “ยกเลิก” ก็อาจมีต้นทุนไม่เพียงพอ รวมถึงการตั้งคำถามหรือการนำเอาปัญหาของการใช้มาตรา 112 มาพูดถึงอย่างต่อเนื่องก็ส่งผลกระตุ้นให้ผู้บังคับใช้กฎหมายต้องระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งเป็นผลให้จำเลยมาตรา 112 ส่วนใหญ่ในปัจจุบันได้ประกันตัว รวมทั้งกระทบต่อคำพิพากษาของศาลที่ต้องพยายามลงโทษให้น้อยลง ตัวอย่างเช่น คดี ติดสติกเกอร์ กูkult ที่ตัดสินไปเมื่อ 4 มีนาคม 2565 ศาลได้ลงโทษขั้นต่ำ 3 ปีพร้อมมีคำสั่งให้ประกันภายใน 1 ชม. หลังคำพิพากษา
![](https://live.staticflickr.com/65535/51922016029_279b336027_z.jpg)
ทำไมต้อง “ยกเลิก” 112 และยังเลือกใช้เครื่องมือ “การเข้าชื่อ” ?
ยิ่งชีพในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการก่อตั้ง “ครย.112” หรือคณะราษฎรยกเลิก 112 รวมทั้งผ่านการถกเถียงเรื่องการจัดทำร่างมาในหลายองค์ประชุมได้สรุปเหตุผลที่เลือกเปลี่ยนจากการ “แก้ไข” มาเป็น “ยกเลิก” จำนวนสองข้อคือ 1) ภาพจำของผู้เข้าร่วมชุมนุมในปี 2563-2564 นั้นมองว่ามาตรา 112 มีปัญหาและต้องการให้ไม่มีกฎหมายข้อนี้อีกต่อไป ดังนั้น ข้อเสนอของ ครย.112 จึงไม่สามารถมีเพดานที่ต่ำกว่านี้ได้และ 2) มีคนโดนคดีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ วัน
“ทุกวันนี้ท่องตัวเลขคนโดนคดีไว้ มันก็เปลี่ยนตลอดเวลาถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะมีเกินกว่า 172 คนใน 160 กว่าคดี และไม่เกินปี 2565-2566 ทุกคนก็จะได้คำพิพากษาแล้ว ทุกวันนี้เราทวงสิทธิประกัน พูดปล่อยเพื่อนเรา แต่อีกไม่นานแต่ละคนจะต้องติดคุกจริงแล้ว เพื่อนเราแต่ละคนไม่รู้เมื่อไหร่จะต้องเข้าคุก ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย มันไม่ได้” ยิ่งชีพกล่าว
ในด้านเหตุผลที่การรณรงค์ครั้งนี้ยังเลือกใช้การเข้าชื่อ ยิ่งชีพตอบว่า การต่อสู้ในสนามนี้จำต้องใช้เครื่องมือทุกอย่างที่มีเพื่อต่อรองกับทุกอำนาจที่มี ซึ่งเครื่องมือ “การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย” เป็นเครื่องมือที่สามารถนับจำนวนประชาชนที่เห็นด้วยได้ชัดเจนที่สุด
สำหรับประเด็นเรื่องจำนวนผู้ลงชื่อในปัจจุบัน ยิ่งชีพกล่าวว่า หากมองภาพตามความเป็นจริง ยอดรายชื่อที่นิ่งอยู่ที่จำนวนหลัก 200,000 คนนั้นสะท้อนว่า กลุ่มคนที่กระตือรือร้นในการเปลี่ยนแปลงกฎหมายนั้นมีอยู่จำนวนคงที่อยู่ประมาณนี้ ดังนั้น โจทย์ต่อไปจึงจำเป็นต้องเข้าหาคนที่ยังไม่ตัดสินใจให้มาแสดงตน โดยแคมเปญการล่ารายชื่อเพื่อยกเลิกมาตรา 112 ในครั้งนี้จะถูกนำไปยื่นรัฐสภาก็ต่อเมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ และมีจำนวนผู้ลงชื่อมากพอที่จะสร้างอำนาจต่อรองกับพรรคการเมืองได้
“คนที่จะเอามันมี แต่เราแค่หาเขาไม่เจอ ซึ่งคนเหล่านี้มีเป็นล้าน ถ้ามันมากพอ คนในสภาหรือพรรคการเมืองก็จะหันมาฟังแล้วรับข้อเสนอนี้ไปสู่สภา” ยิ่งชีพกล่าว
![](https://live.staticflickr.com/65535/51921777078_a625bc4340_z.jpg)
สามารถรับชมการเสวนาย้อนหลังได้ทาง https://fb.watch/bzq6iZTS7V/
สำหรับผู้ที่สนใจนิทรรศการพิพิธภัณฑ์สามัญชน (Museum of Popular History) และนิทรรศการ THE NOTED NO.112 ของไอลอว์ สามารถเข้าชมได้ที่ Kinjai Comtemporary เวลา 11:00 – 19:00 น. (หยุดทุกวันจันทร์-อังคาร) ตั้งแต่วันนี้จนถึง 20 มีนาคม 2565