1 ปีนิรโทษกรรมประชาชน นักโทษการเมือง-ผู้ลี้ภัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คาดกฎหมายเข้าสภาก.ค. 68 

21 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 17.00 – 20.30 น. ที่ห้อง 102 คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ เครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิทางการเมืองได้จัดกิจกรรม “Exclusive Talk 1 ปี นิรโทษกรรม” เพื่อรายงานสถานการณ์ความคืบหน้าของการนิรโทษกรรมประชาชน มีผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยน เช่น พูนสุข พูนสุขเจริญ จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ผู้เสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน ณัฐฐา อัชฌานุเคราะห์ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ณธกร นิธิศจรูญเดช จากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย มาร่วมแลกเปลี่ยนในหัวข้อความหวังผ่านจดหมาย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคประชาชนที่จะมาพูดคุยถึงบทบาทของฝ่ายค้านและรัฐสภาที่มีต่อคดีการเมือง และกับนัสรี พุ่มเกื้อ ผู้อำนวยการเครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิทางการเมือง หรือ ThumbRights กับการนำเสนอทางเลือกอื่น ๆ นอกจากการนิรโทษกรรม  ทั้งนี้ผู้จัดได้เชิญตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยด้วยแต่ไม่มีการตอบรับเข้าร่วม

ทบทวนเส้นทางหนึ่งปีนิรโทษกรรมประชาชน มีผู้ต้องขังการเมืองและผู้ลี้ภัยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  

พูนสุข พูนสุขเจริญ ผู้เสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน กล่าวว่า เป็นเวลากว่า 1 ปีแล้ว ที่เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1-14กุมภาพันธ์ 2567 และสามารถรวบรวมรายชื่อได้กว่า 36,000 รายชื่อ การเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน ไม่ได้มีเพียงแค่ภาคประชาชนเท่านั้นที่เสนอ แต่ปัจจุบันมีร่างพ.ร.บ.ที่มีเนื้อหาว่าด้วยนิรโทษกรรมรวมสี่ฉบับที่รอบรรจุวาระการประชุมที่สภาผู้แทนราษฎร

ในส่วนของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน ปีที่แล้วโดยกระบวนการต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากเว็บไซต์รัฐสภา ซึ่งปรากฏว่า มีผู้เข้าไปรับชมมากกว่าสี่แสนคน แสดงความคิดเห็นกว่า 80,000 ความเห็น ซึ่งสัดส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคือ 65% ไม่เห็นด้วย 35% แต่กระบวนการดังกล่าวกลับพบปัญหาหลายอย่างซึ่งสะท้อนถึงกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของรัฐสภา โดยรองประธานรัฐสภาออกมาเปิดเผยเองว่ามีสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นในกระบวนการรับฟังความคิดเห็น นั่นคือลักษณะของการใช้บอต (Bot) ในการแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก สถิติดังกล่าวไม่ได้คัดกรองบอตก่อน ซึ่งก็เป็นที่น่าจับตามองว่า กระบวนการรับฟังความคิดเห็นนั้นมีความน่าเชื่อถือมากเพียงใด

ช่วงเวลาเดียวกันมีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งใช้เวลาศึกษามากกว่า 6 เดือน แต่ว่ารัฐสภามีการลงมติไม่เห็นด้วยกับข้อสังเกตของรายงาน ทั้ง ๆ ที่ข้อสังเกตดังกล่าวเป็นเพียงการเสนอแนวทางทางให้หน่วยงานรัฐบรรเทาสถานการณ์ก่อนการนิรโทษกรรม เช่น การให้สิทธิประกันตัว  ความขัดแย้งหลักคือ มีความกังวลเรื่องการนิรโทษกรรมในคดีมาตรา 112ซึ่งต้องทำให้ชัดเจนว่า การนิรโทษกรรมไม่ใช่การแก้ไขกฎหมาย การดำรงสถานะของพระมหากษัตริย์ กองทัพ ศาล หรือ ตัวกฎหมายยังคงอยู่ การนิรโทษกรรมไม่ใช่การแก้ไขกฎหมาย แต่คือโอกาสที่ง่ายที่สุด โดยที่ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง หรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใด ๆ ซึ่งจากรายงานวาระในการประชุม มีผู้ออกมาอภิปรายออกมาปกป้องสถาบัน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการนิรโทษกรรม 

พูนสุขกล่าวถึงความสูญเสียในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาคือ มีจำนวนผู้ต้องขังทางการเมืองสูงที่สุดและสถานการณ์ที่มีผู้ต้องขังสูงขนาดนั้น ส่งผลให้มีคนตัดสินใจลี้ภัยออกนอกประเทศ อย่างน้อย 11 คน และความร้ายแรงไม่ได้ไปจบแค่การต้องลี้ภัย แต่ถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตในเรือนจำ  

แนวโน้มศาลสูงลงโทษม. 112 โอกาสได้รับสิทธิประกันตัวน้อย 

ณัฐฐา อัชฌานุเคราะห์ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า นับตั้งแต่พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศว่าจะใช้กฎหมายทุกมาตราดำเนินคดีกับประชาชนในปี 2563 จนถึงปัจจุบัน พบว่า มีการระดมแจ้งความและดำเนินคดีกับประชาชนรวมแล้วไม่น้อยกว่า 277 ราย ซึ่งตีเป็น 309 คดี หากนับจำนวนคดีทั้งหมดถึงปี 2567 แปลว่าในทุก ๆ เดือน จะต้องมีคนอย่างน้อย 1-2 คน ถูกแจ้งความในคดี มาตรา 112 และจากภาพรวมของคดีทั้งหมดที่ศูนย์ทนาย ฯ ติดตามได้ถึง มกราคม 2568 มีผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองรวม 1,960 ราย ในจำนวน 1,313 คดี  แม้เราจะเปลี่ยนผ่านเป็นรัฐบาลพลเรือนแล้ว การดำเนินคดีตามมาตรา 112 ก็ยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าเราจะอยู่ในระบบประชาธิปไตย

ไม่ได้มีเพียงนักกิจกรรมทางการเมืองที่โดนดำเนินคดีความ แต่ยังลามมาดำเนินคดีกับนักข่าวหรือสื่อมวลชนที่ไปทำข่าวในพื้นที่ชุมนุมด้วย นอกจากการดำเนินคดีแบบไม่เลือกหน้าแล้ว มีการแจ้งความดำเนินคดีในพื้นที่ที่ห่างไกล โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ จากข้อมูลพบว่ามีการดำเนินคดีทางไกล รวมกันไม่น้อยกว่า 32 คดี และกว่าครึ่งของการแจ้งความทางไกลมาจากการแจ้งความของกลุ่มปกป้องสถาบัน ฯ ซึ่งเกิดกับจำเลยจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ที่ถูกแจ้งความ แต่ต้องเดินทางไปสู้คดีในพื้นที่ห่างไกลจากภูมิลำเนาของตัวเอง

ขณะที่แนวโน้มของคำพิพากษานั้น ส่วนมากแล้วการพิจารณาคดีความผิดมาตรา 112 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้มีความผิด แล้วจำเลยยืนยันจะสู้คดีต่อในศาลสูงชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาก็มีแนวโน้มที่ศาลสูงจะยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และทำให้จำเลยไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งมีจำนวนน้อยมากที่ศาลสูงจะยกฟ้องหรือกลับคำพิพากษา เพราะส่วนใหญ่จะถูกยืนยันให้มีความผิดตามคดีมาตรา 112 ต่อไปจนถึงที่สุด ยกตัวอย่างกรณีของ คดีธนพร ที่ต่อสู้คดีจนถึงชั้นฎีกา แล้วชั้นฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ จนทำให้ธนพรต้องถูกคุมขังในเรือนจำต่อไปถึง 2 ปี ในทางกลับกัน หากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง เราพบว่าศาลสูงมักจะมีการกลับคำพิพากษาให้มีความผิด ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง 

ในเรื่องการประกันตัวจากสถิติการการยื่นประกันตัวของผู้ต้องหาทางการเมืองในปี 2567 จำนวนไม่น้อยกว่า 183 ฉบับ ปรากฏว่าศาลยกคำร้อง 168 ฉบับ หมายความว่าในทุกครั้งที่มีการขอยื่นประกันตัว โอกาสในการได้ประกันตัวมีแนวโน้มเพียง 8.3% แต่โอกาสที่จะไม่ได้รับการประกันตัวหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว มีถึง 91.7%

“จริง ๆ ปีที่แล้วทนายความของเรายื่นประกันผู้ต้องขังทั้งหมดในปีที่ผ่านมากว่า 183 ฉบับ แต่น่าสนใจคือเกือบ 168 ศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้อง นั่นแปลว่าในทุก ๆ ครั้งที่เรายื่นประกันตัว ลูกความของเราแทบไม่มีใครได้ประกันตัว ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการยื่นประกันชุดใหญ่เป็นจำนวนมากกว่าสี่ครั้ง รวมถึงในช่วงที่เครือข่ายนิรโทษกรรมเองก็ดำเนินการรณรงค์แคมเปญ ทนายความของเราได้ยื่นประกันตัวในช่วงดังกล่าวเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าก็ไม่มีใครได้ประกันตัว หรือแม้แต่ในช่วงสถานการณ์ที่คุณบุ้ง เนติพรเสียชีวิต เราขอยื่นประกันตัวให้ศาลพิจารณาปล่อยผู้ต้องขังของเราออกมา ก็ไม่มีเหมือนกัน..” 

จากสถิติอานนท์ นำภา เป็นผู้ที่ยื่นขอประกันตัวมาที่สุด และไม่ว่าจะยื่นด้วยเหตุผลใด ก็ไม่ได้รับการประกันตัวแม้จะขอออกมาดูแลลูกที่ประสบอุบัติเหตุก็ตาม  “มีครั้งหนึ่งที่ทนายอานนท์นำภา เขียนคำร้องขอประกันตัวในช่วงที่ลูกชายของเขาโดนเตารีดทับมือ ขอออกมาดูแลลูกชาย [ศาล] ก็ไม่ให้ [ประกันตัว]เหมือนกัน ไม่ว่าคำร้องอะไรที่เราเขียนไป ทนายอานนท์ นำภาจะเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสได้ประกันตัวน้อยที่สุดในบรรดาผู้ต้องขัง 44 รายที่มีอยู่”  

“จำเลยในคดี 112 หรือจำเลยในคดีการเมืองหลายคนในที่นี้ ที่ยังได้รับการประกันตัวอยู่อาจจะมีความกังวล แต่ไม่เป็นไร เราจะยื่นประกันตัวทุกคนต่อไป” 

นอกจากนี้มีข้อสังเกตอยู่ในกลุ่มของลูกความในคดีมาตรา 112 ที่ฟังคำพิพากษาในเดือนมกราคม 2568มีคนที่ได้ประกันตัว แล้วมีคนที่ถูกจำคุก แต่ความน่าสนใจคือ มีคนที่โทษสูงและได้ประกันตัว ในขณะเดียวกัน คนที่ได้รับโทษน้อยกว่ากลับไม่ได้ประกันตัว ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะตั้งคำถามกับกระบวนการยุติธรรม และตุลาการของไทยว่ามาตรฐานของการประกันตัวตรงนี้อยู่ที่ไหน และใช้อะไรพิจารณาคำร้องขอประกันจำเลย

ณัฐฐาทิ้งท้ายว่า ทางออกของปัญหานักโทษการเมือง คือ การคืนสิทธิประกันตัวให้ผู้ต้องขังทางการเมืองทันที และพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอย่างเร่งด่วน เพราะประชาชนที่ยังมีคดีติดตัวอยู่ มีแนวโน้มที่จะต้องกลายเป็นผู้ต้องขังคดีทางการเมืองเพิ่มขึ้นในปีนี้ ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ทางศูนย์ทนายฯ กำลังรับมือกับผู้ต้องขังที่มากถึง 44 ราย และใน 44 รายนี้ เป็นผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 จำนวน 29ราย คดีอื่น ๆ อีก 15 ราย และในจำนวนคนทั้งหมดนี้ มีคนที่ยืนยันจะต่อสู้คดีต่อและไม่ยุติการต่อสู้ของตัวเอง ถึง 27 ราย 

จดหมายจากคนข้างนอกเติมความหวังให้คนในเรือนจำ

ณธกร นิธิศจรูญเดช จากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า หนึ่งปีผ่านมาแคมเปญนิรโทษกรรมประชาชนได้ช่วยสร้างความหวังให้กับคนที่อยู่ในเรือนจำให้พวกเขามีแรงที่จะสู้ต่อ โดยวันนี้ภาคประชาชนและองค์กรที่เกี่ยวข้องยังยืนยันว่า เสรีภาพเป็นของทุกคน ไม่ใช่แค่ใครบางคน ไม่มีใครควรที่จะต้องถูกจองจำเพียงแค่พวกเขาแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจ 

นอกจากการผลักดันนิรโทษกรรมประชาชนแล้ว มีอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยได้ คือ “การเขียนจดหมาย ส่งกำลังใจให้กับคนที่อยู่ในเรือนจำทุกคน”  การเขียนเป็นสิ่งหนึ่งที่เราช่วยได้ “สำหรับเขา (คน) ที่ถูกจองจำ เพียงเพราะการที่เขาใช้สิทธิขั้นพื้นฐาน จดหมายไม่ใช่เป็นเพียงแค่กระดาษใบหนึ่งที่เปื้อนด้วยหมึก แต่จดหมายเป็นเครื่องมือหรือทรัพย์สินส่วนบุคคลเดียวที่เขามีในเรือนจำ ที่สามารถทำให้เขามีกำลังใจ ให้เขาใช้ชีวิตอยู่ได้ในเรือนจำนี้” 

ณธกรใช้โอกาสนี้อ่านจดหมายจากคนในเรือนจำมาอ่านให้คนที่อยู่ข้างนอกได้รับฟังกัน โดยเจ้าของจดหมายเล่าว่า ในทุกครั้งที่เขานอนอยู่ในห้องขัง ในทุกครั้งที่เขาได้ยินเสียงเครื่องบินที่บินผ่านไปมาเหนือเรือนจำ ทำให้เขาฝันถึงวันที่จะได้สัมผัสกับอิสรภาพอีกครั้ง วันที่เขาจะสามารถขึ้นเครื่องบินไปยังที่ที่เขาปรารถนา ไม่ใช่ความรู้สึกของการหลบหนี แต่เป็นความรู้สึกของอิสรภาพ การได้เห็นท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ท้องฟ้าที่เป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ แต่วันนี้เสรีภาพยังมาไม่ถึง เพราะสังคมของเราถูกตีกรอบว่าเรื่องไหนพูดได้หรือพูดไม่ได้ 

สำหรับพวกเขาจดหมาย กำลังใจ เพียงแค่รูปหัวใจหนึ่งดวง  หรือเพียงแค่บอกว่า “สู้ ๆ” นะ คำพวกนี้ สำหรับเขาแล้วมันสร้างกำลังใจ สร้างความหวัง ทำให้เขารู้ว่าข้างนอกยังมีคนที่ช่วยกันส่งเสียงทุกวัน ช่วยกันเรียกร้อง ช่วยกันขับเคลื่อน…เคลื่อนไหวทุกวัน ให้เกิดวันที่เราจะสามารถนิรโทษกรรมประชาชนได้ “เรามีจดหมายที่ได้รับกว่า 10,512 ฉบับ โดยจดหมายทั้งหมดมีการทยอยส่งไปยังเรือนจำต่าง ๆ เจออุปสรรคบ้าง เจอปัญหาบ้าง เจอนโยบายของเรือนจำที่ประหลาดบ้าง บางเรือนจำอย่างแรก ๆ เช่นของคุณกัลยาที่นราธิวาส เราส่ง [จดหมาย] ได้ ซึ่งมหัศจรรย์มาก แต่เร็ว ๆ นี้ งดทุกอย่าง แม้แต่ญาติคุณกัลยา ยังไม่สามารถให้เข้าเยี่ยมได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมครับ ทำไมครอบครัวเขาถึงไม่สามารถที่จะเยี่ยมได้ ประเทศเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร” 

ณธกรทิ้งท้ายว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน จะไม่ได้เป็นเพียงแค่กระดาษทางกฎหมาย แต่จะเป็นหมุดหมายสำคัญที่จะป่าวประกาศว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพ ให้ความสำคัญกับประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่ง และกฎหมายฉบับนี้คือโอกาสของคนที่ถูกจองจำอย่างไม่เป็นธรรม ที่จะให้เพื่อน ๆ 40 กว่าคน จะได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง

“ทำไมเรานิรโทษกรรมนักการเมืองได้ ทำไมเรานิรโทษกรรมคนที่มีอำนาจได้ แต่ประชาชนที่เขาไม่มีอะไรเลย ทำไมมันยากเหลือเกินที่จะนิรโทษกรรมประชาชน อันนี้คือคำถามที่มันไม่ควรถามจริง ๆ เลยในสังคม” 

สส.หวั่นถูกเช็คบิลเป็นอุปสรรคผลักดันนิรโทษกรรม เชื่อผ่านวาระ หากเพื่อไทยเอาด้วย

ณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ พรรคประชาชน กล่าวว่า ตั้งแต่การรัฐประหาร 2549 มีการนิรโทษกรรมสองครั้งแก่คณะรัฐประหาร ขณะที่ประชาชนผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองจากการออกไปใช้สิทธิเสรีภาพของตัวเองกลับยังไม่ได้รับการนิรโทษกรรม ในรายงานการศึกษาเรื่องการนิรโทษกรรม สภาลงมติรับรายงานแต่ไม่รับข้อสังเกตในรายงาน  ซึ่งเป็นข้อสังเกตที่สามารถส่งไปให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการบางอย่างไปได้ก่อนโดยไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่ผลปรากฏว่า ว่า สส.ส่วนใหญ่ไม่รับ แม้ว่าตอนแรกทางพรรครัฐบาลแสดงท่าทีว่าจะรับ แต่ท้ายที่สุดแล้วตอนโหวตออกมาก็ออกมาตรงกันข้าม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมาคุยกันต่อว่าจะผลักดันร่างนี้ต่อได้อย่างไร 

ณัฐพงศ์กล่าวว่า ให้สังเกตพรรคอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พรรคประชาชน ไม่ต้องการแตะประเด็นมาตรา 112 เท่าไรนัก เห็นได้จากการที่มี สส.หลาย ๆ คนออกมาให้ความเห็นว่า ไม่ควรนิรโทษกรรมให้กับความผิดในมาตรา 112 เพราะเป็นการคุ้มครองสถาบันหลักของประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม จำนวนคดีชี้ให้เห็นว่า สัดส่วนการถูกดำเนินคดีในมาตรานี้มีจำนวนสูงขึ้นในช่วงการชุมนุม 2563 เป็นต้นมา ก็คือช่วงชุมนุมคนรุ่นใหม่ ซึ่งมาจากนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดังนั้นการดำเนินคดี 112 จึงเป็นเรื่องการเมือง เพราะเกิดจากนโยบายของรัฐ เห็นได้ชัดว่าเมื่อมีประกาศออกมาจากนายกรัฐมนตรี ตัวเลขการถูกดำเนินคดีก็พุ่งสูงขึ้นทันที แล้วคดี 112 เป็นคดีที่ความพิเศษ เพราะแทบจะไม่มีการพิจารณาปล่อยตัวก่อนเลย เนื่องจากไม่มีใครกล้าที่จะไปแตะต้องในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นพรรคประชาชนก็ยืนยันมาตลอดว่ากฎหมายนี้มีปัญหา ส่วนจะปรับแก้อย่างไร ก็เป็นสิ่งที่ต้องไปถกเถียงกันต่อ 

สำหรับความคืบหน้าเขาระบุว่า หากติดตามข่าวเมื่อปลายปี 2567 มีการคาดการณ์ว่าจะเข้าสู่ช่วงสมัยประชุมนี้ แต่เมื่อพิจารณาจากวาระการประชุมในปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งเรื่องด่วน เรื่องที่คณะรัฐมนตรีเสนอ การอภิปรายไม่ไว้วางใจอีก ทำให้มีการประเมินว่าอาจจะได้พิจารณาในสมัยประชุมหน้า ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงประมาณช่วงเดือนกรกฎาคม 

เขามองว่า ตัวแปรสำคัญอย่างพรรคภูมิใจไทย หากพรรคภูมิใจไทยไม่เอา พรรคเพื่อไทยก็ไม่สามารถไปต่อได้ รวมถึงสภาวะที่สส.กังวลว่าจะมีคดีตามมาจากการโหวตสนับสนุนรายงานหรือข้อสังเกต

“ทุกท่านจะเห็นว่าตอนนี้ สิ่งที่เป็นภาวะที่เกิดขึ้นในสภา หลาย ๆ ครั้ง สส.กลัวที่ตัวเองจะโดนคดีต่าง ๆ แล้วไม่กล้าแม้แต่จะอภิปราย แค่อภิปรายยังรู้สึกว่าเดี๋ยวฉันจะโดนคดีได้ คล้าย ๆ กรณีกับร่างรายงาน ร่างรายงานมันไม่มีผลทางกฎหมาย เราแค่โหวตรับข้อสังเกตเอง ข้อสังเกตส่งไปคณะรัฐมนตรี ส่งไปหน่วยงานต่าง ๆ เขาไม่จำเป็นต้องทำตามข้อสังเกตที่สภาส่ง แต่สุดท้าย 1 วันก่อนที่จะมีการรับข้อสังเกต ข่าวก็ออกว่าเหมือนฝั่งเพื่อไทย จะโหวตรับ แต่สุดท้ายพอมาโหวตจริง เสียงส่วนใหญ่ในสภา ไม่ได้โหวตด้วย เพราะกังวลคดีที่จะตามมา” 

ณัฐพงศ์กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่เหมือนกับร่างรัฐธรรมนูญ อาศัยเสียงแค่สภาล่าง จริง ๆ ในฝั่งของพรรคประชาชน ความเห็นของเขาคือ โหวตรับทุกร่างในวาระที่หนึ่งได้อยู่แล้ว ส่วนรายละเอียดที่เหลือค่อยไปถกเถียงในวาระที่สอง เพราะฉะนั้นหากมีพรรคเพื่อไทยมาช่วยเติมด้วย อย่างไรก็สามารถผ่านได้ทุกร่างอยู่แล้ว แต่คำถามคือ อีกฝั่งเพื่อไทยจะโหวตด้วยหรือเปล่า ใจความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า จะออกมาร่างไหน แต่อยู่ที่ว่านักการเมืองกล้าทำหน้าที่ของตัวเองหรือไม่ 

“ผมคิดว่า ใจความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าจะออกมาเป็นร่างของ ครม. ไม่ใช่ร่างของ ครม. แต่ผมว่าสภาวะทางการเมืองใหญ่ ๆ ของประเทศ ณ ตอนนี้ มันติดอยู่ที่ว่า นักการเมืองโดยส่วนใหญ่ กลัวในการที่จะใช้อำนาจตัวเอง เพราะกลัวว่าการใช้อำนาจต่าง ๆ เหล่านี้มันจะทำให้ตัวเองมีคดีตามหลังมา ดูตั้งแต่ประเด็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าสุด ที่แม้แต่การอภิปราย ยังไม่กล้าอภิปรายเลย” 

ณัฐพงศ์ทิ้งท้ายว่าตอนนี้ จะทำอย่างไรให้การเมืองมีความรู้สึกยึดโยงกับประชาชน เวลาจะลงมติโหวตอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เข้าไปนั่งในสภาแล้วรู้สึกกลัวที่จะต้องรักษาอำนาจตัวเอง กลัวที่จะถูกดำเนินคดี แต่กล้าโหวตเพื่อประโยชน์ของประชาชน 

เปิดทางเลือกอื่นๆนอกจากการนิรโทษกรรมประชาชน

นัสรีกล่าวว่า แม้ผ่านไป 1 ปีหลังจากเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชน สภาได้มีการตั้งคณะกรรมธิการวิสามัญศึกษา แต่ยังไม่มีความคืบหน้า ขณะที่ทุกวันยังมีคนเดือดร้อนจากคดีทางการเมือง คำถามคือเรามาถึงทางตันหรือยัง และยังมีทางเลือกใดอีกบ้างนอกจากการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมโดยการดำเนินการต้องยึดหลักการสำคัญที่สุดสองข้อ คือ การลบล้างความผิด ไม่มีการบังคับรับสารภาพก่อนกระบวนการ และต้องนิรโทษกรรมแบบรวมคดีทุกคดี

“ผมรู้สึกว่ามีสองอย่างแน่นอนที่รู้สึกว่าเป็นหลักการสำคัญที่เราต้องคงไว้ อย่างแรกคือการลบล้างความผิด และไม่มีการบังคับการรับสารภาพก่อนกระบวนการ หมายถึงเราอาจจะได้ยินข้อถกเถียงในก่อนหน้านี้ว่า คุณ [ผู้ถูกดำเนินคดี] ก็รับสารภาพมาสิ เดี๋ยวก็รออภัยโทษ แต่ถามว่าแบบนั้นมันดีจริงๆ หรือ กับการที่คนคนหนึ่ง ที่จริงๆ แล้วแค่แสดงความคิดเห็นทางการเมือง เขาต้องไปยอมรับทั้งๆ ที่บางทีเขาอาจไม่ได้ทำผิดอะไรเลย มันค่อนข้างที่จะลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไปมาก ในการบังคับให้คนหนึ่งต้องยอมรับว่าตัวเองผิด…”

เขายืนยันว่าการรวมคดีที่เกิดขึ้นจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองทุกคดี โดยเฉพาะมาตรา 112 เป็นหลักการที่ต้องคงไว้ เพราะไม่ใช่แค่การนิรโทษกรรมหรือไม่นิรโทษกรรม แต่คือการยืนยันว่าการแสดงความคิดเห็นเป็นไปตามหลักการวิถีประชาธิปไตย

นัสรีย้อนบทเรียนจากประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่า นับตั้งแต่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 มีการนิรโทษกรรมมาแล้วอย่างน้อย 23 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นการนิรโทษกรรมให้คนทำรัฐประหาร มีเพียงแค่ 3 ครั้งที่เป็นการนิรโทษกรรมให้กับประชาชน ได้แก่ เหตุการณ์ 14 ตุลา เหตุการณ์ 6 ตุลาและเหตุการณ์พฤษภา 2535

หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาปี  2523 มีการออก “คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 66/23” เกี่ยวกับนโยบายปราบคอมมิวนิสต์ โดยใช้การเมืองนำทหาร หนึ่งในสาระสำคัญของคำสั่งคือการ “เปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์และมวลชนที่เข้าป่าไปจับปืนต่อสู้กับรัฐบาลได้รับการนิรโทษกรรมในคดีการเมืองทั้งหมด และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ” ลงนามโดย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และในเหตุการณ์พฤษภา 2535  มีการออก “พระราชกำหนด” โดยคณะรัฐมนตรี เพื่อนิรโทษกรรมบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่มีส่วนร่วมในการชุมนุม

เขายกตัวอย่างการนิรโทษกรรมจากต่างประเทศ ดังนี้

1. โมเดลการตั้งคณะกรรมการ (แอฟริกาใต้)

กรณีของแอฟริกาใต้ที่มีปัญหาแบ่งแยกสีผิวนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง มีการตั้งคณะกรรมการความจริงและการปรองดอง (The South African Truth and Reconciliation Commission – TRC) เพื่อให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนให้เกิดการลบล้างความผิดในกิจกรรมบางอย่าง คอยกลั่นกรองและดำเนินการให้เกิดกระบวนการนิรโทษกรรมในคดีที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ทางการเมืองตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด

2. โมเดลการไม่ฟ้องร้อง (อินโดนีเซีย)

กรณีของประเทศอินโดนีเซีย ใช้วิธีการไม่ฟ้องร้อง คือการเพิกถอนคำฟ้องในคดีหมิ่นประมาทประธานาธิบดี หลังจากมีการปฏิรูปกฎหมาย ซึ่งมักจะเป็นข้อหาที่ใช้ดำเนินคดีกับนักกิจกรรมทางการเมืองที่ออกมาเรียกร้องต่อประมุขของประเทศ (คล้ายกับมาตรา 112 ของประเทศไทย) มีการลดการดำเนินคดี

3. โมเดลศาลรัฐธรรมนูญ (เกาหลีใต้)

กรณีศึกษาจากประเทศเกาหลีใต้ ใช้กลไกของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งวินิจฉัยว่า “การกำหนดโทษสำหรับคนที่ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เป็นสิ่งที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพ” เนื่องจากเมื่อก่อน เกาหลีใต้มีการบัญญัติกฎหมายไว้ว่าหากใครมารณรงค์ เรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าบทบัญญัตินี้ขัดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงมีการยกเลิกบทบัญญัติดังกล่าว และลบล้างความผิดให้กับคนที่เคยถูกดำเนินคดี

4. โมเดลการยกเลิกกฎหมาย (เยอรมนีและอเมริกา)

มีอีกวิธีที่เคยใช้ในเยอรมนีและอเมริกา คือ การยกเลิกกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน และมีปัญหาในการบังคับใช้ เช่น ในช่วงปี 1900s สหรัฐอเมริกามีกฎหมายห้ามหมิ่นประมาทประธานาธิบดีหรือประมุขของรัฐ ซึ่งต่อมาได้มีกระบวนการปฏิรูป และยกเลิกไป ส่งผลให้นักกิจกรรมที่โดนดำเนินคดีจากความผิดจากกฎหมายเหล่านี้ได้รับการลบล้างความผิดไป

แนวทางที่สามารถปรับใช้กับประเทศไทย การตราเป็นพระราชบัญญัติ แบบเดิมโดยให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองคล้ายกับของแอฟริกาใต้ การใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่แล้ว เช่น มาตรา 21 ของ พ.ร.บ.อัยการ ที่ให้อัยการใช้ดุลพินิจในการสั่งไม่ฟ้องคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ หรือคดีที่กระทำไปตามสิทธิพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย การใช้ดุลพินิจของศาล ในการตัดสินยกฟ้องหรือให้รอลงอาญา ในคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ หรือคดีที่กระทำไปตามสิทธิพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย และการยกเลิกกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ที่เป็นต้นตอของคดีความทางการเมือง

“….หลายๆ พรรคการเมืองครับ ตอนหาเสียงบอกว่าต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่ว่าพอถึงจังหวะที่ให้โอกาสเขาในการก้าวข้ามความขัดแย้งไปสู่การปรองดอง หรือว่าความสามัคคีของคนในชาติตามที่เขาชอบพูดกันแล้ว เขากลับไม่ทำ เขากลับทำให้ความขัดแย้ง ทำให้คดีความทางการเมืองมันยังดำเนินต่อไป…”

นัสรีตั้งคำถามว่า หากผู้มีอำนาจไม่กล้าใช้อำนาจ แล้วจะมีอำนาจไปเพื่ออะไร เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองหรือ? พอถึงจังหวะที่สังคมต้องการอำนาจนั้นมากที่สุด เราเลือกตั้งให้อำนาจไปแล้ว แต่คนเหล่านั้นกลับไม่ใช้ การนิรโทษกรรมต้องเกิดขึ้นให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด โดยยึดหลักสำคัญคือ “นิรโทษกรรมในทุกๆ คดีที่เกิดขึ้นจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยเฉพาะมาตรา 112 และมีการลบล้างความผิดโดยที่ไม่มีการบังคับการรับสารภาพ”

RELATED TAGS

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

บทความยอดนิยม

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage