
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ส.ว.ถือเป็น ‘ตัวแปรสำคัญ’ ในเกมส์การเมืองของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่แค่อำนาจในการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่หนึ่งและวาระที่สามของรัฐสภาที่ต้องมีเสียงเห็นชอบจาก ส.ว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 แต่ยังมีอำนาจอื่นตามบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ 2560 อันได้แก่ อำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีที่สามารถเลือกได้ตลอดในระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง 5 ปี โดยที่สภาผู้แทนราษฎรมีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี รวมถึงอำนาจในการพิจารณากฎหมายที่ถูกตีความว่าเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศร่วมกับ ส.ส. ซึ่งต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ที่กำหนดให้ ส.ว. มีอำนาจเพียงยับยั้งหรือส่งกลับเท่านั้น ซึ่งอำนาจทั้งหมดก็อยู่ในรัฐธรรมนูญที่เขียนโดยคนกลุ่มเดียวเพื่อให้อำนาจกับคนเพียงกลุ่มเดียวที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนแต่มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องที่กระทบต่อคนทั้งประเทศได้
หลายฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันมาตลอดว่าปัญหาที่เปรียบเสมือนเป็นกับดักการเมืองไทยที่ไม่พาประเทศเดินไปข้างหน้า ก็คือ ส.ว.แต่งตั้ง 250 คน ทำให้ในศึก #แก้รัฐธรรมนูญ ยกที่สองที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 22-24 มิถุนายน 2564 ข้อเสนอสำคัญที่พรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ยกเว้นพรรคพลังประชารัฐ ต่างพร้อมใจกันยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ ประเด็นการตัดอำนาจ ส.ว. ซึ่งในการแก้ไขเรื่องดังกล่าวคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยเสียงเห็นชอบจากตัว ส.ว. เองไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือประมาณ 84 คนจากเสียงทั้งหมด 250 คน
เปิดรายชื่อ ส.ว. เคยโหวตไม่เห็นด้วยกับการ ‘ปิดสวิซต์’ อำนาจตัวเอง
การเสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัดอำนาจ ส.ว.ในครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก ย้อนกลับไปดูการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2563 ที่มีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น 7 ฉบับโดยมีสองร่างที่พูดถึงการตัดอำนาจ ส.ว. อันได้แก่ การยกเลิกอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี และการยกเลิกอำนาจตามบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ 2560 เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ
ซึ่งการลงมติวาระแรกหรือชั้นรับหลักการในครั้งนั้นเมื่อวันที่ 17-18 พฤศจิกายน 2563 จากจำนวน ส.ว. 245 คน (ที่อยู่ในตำแหน่งขณะนั้น) ปรากฎคะแนนเสียง ดังนี้
๐ ร่างฯ เสนอให้ยกเลิกอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี
เห็นด้วย 56 คน
งดออกเสียง 169 คน
ไม่เห็นด้วย 12 คน
ขาดประชุม 8 คน
โดยส.ว.ที่ไม่เห็นด้วย มีรายชื่อดังนี้
๐ ร่างฯ เสนอให้ยกเลิกอำนาจเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ
โดย ส.ว.ที่ลงมติเห็นด้วยกับการตัดอำนาจของตัวเองทั้งสองประเด็นในการแก้รัฐธรรมนูญครั้งที่ผ่านมา มีเพียงแค่สองคน ได้แก่ พลเอก สมเจตน์ บุญถนอม และ สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย โดยที่ ส.ว. ส่วนใหญ่ลงมติงดออกเสียงในทั้งสองประเด็น ขณะที่ สมชาย แสวงการ, เสรี สุวรรณภานนท์ เป็นสองคนที่ลงมติไม่เห็นชอบให้ตัดอำนาจในการเลือกนายก และออกมาแสดงท่าทีว่าจะไม่ลงมติรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านโดยเฉพาะประเด็นการตัดอำนาจ ส.ว.ในการแก้รัฐธรรมนูญครั้งที่กำลังจะมาถึง
จากข้อมูลล่าสุด (14 มิถุนายน 2564) มีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รอเข้าสู่การพิจารณาของสภาวันที่ 22-24 มิถุนายน 2564 จำนวน 14 ร่าง มาจากทั้งพรรคพลังประชารัฐที่เสนอโดยไพบูลย์ นิติตะวัน มาจากพรรคร่วมรัฐบาลนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา และมาจากพรรคร่วมฝ่ายค้านนำโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งหลักการที่เป็นจุดร่วมของทุกพรรคยกเว้นพรรคพลังประชารัฐและพรรคชาติไทยพัฒนา คือการเสนอให้ตัดอำนาจ ส.ว. ดังนั้นการเมืองไทยจะสามารถก้าวไปข้างหน้าหรือจะต้องย่ำอยู่กับที่ ปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับการมีอยู่หรือจากไปของ ส.ว. 250 คน ที่มีขึ้นเพื่อสืบทอดอำนาจ คสช.ชุดนี้ นี่จึงนับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญของประชาชนที่จะช่วยกันกดดันพรรคการเมืองและ ส.ว. ในการลงมติตัดต้นตอปัญหาสำคัญออกไปอย่างเร่งด่วนในวาระแก้รัฐธรรมนูญที่กำลังจะมาถึงนี้