ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่

ภาพโดย The 101.world
เมื่อกล่าวถึงการทำร้ายร่
“ในทางจิตวิทยาคนใช้ความรุ
นแรงมักจะมีความรู้สึกกลัวอยู่ ในใจ อ่อนแอ เพราะคนที่มั่นใจในตัวเองจะใช้ เหตุผลในการพูดคุยได้แต่เมื่ อเราไม่มั่นใจก็เลยใช้ความรุ นแรง เปรียบเสมือนการตั้งกำแพงขึ้ นมาปกป้องตัวเอง”
ในสังคมเรามักจะเห็นคนที่
แต่บางทีเมื่อเรามีอารมณ์ร่วมกั
เมื่อก่อนคนที่เห็นต่างในสั

ดร.เอกพันธุ์ แนะนำว่า ให้เราคอยสังเกตตัวเองและตระหนักรู้ว่า เมื่อใดเราเริ่มเกลียดคนๆ นึง แล้ว ให้พิจารณาตัวเองว่า เราเริ่มเกลียดเพราะอะไร จุดที่ชอบและไม่ชอบเป็นอย่างไร จริงๆ เราอาจจะไม่ได้เกลียดตัวบุคคเราอาจจะเกลียดแค่พฤติกรรมบางอย่างก็ได้
“เวลาเราเชียร์การแบ่งขั้วแบ่
งฝ่าย จริงๆแล้วเราควรจะต้ องแยกคนแยกประเด็นและพยายามพิ จารณาให้รอบคอบทุกด้าน จะทำให้เราไม่ไปเกลี ยดเพราะเขาเป็นเขาให้มองถึงพฤติ กรรมของเขาที่เราเกลียด”
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่
อยู่ที่เราเองว่าเราเชื่อว่าสันติวิธีสามารถแก้ปัญหานั้นได้หรือไม่ ถ้าตัวเราเชื่อว่ามันอาจจะเป็นไปได้ สันติวิธีก็มีทางเป็นไปได้ที่จะแก้ไขปัญหานั้นๆ แต่ถ้าเราไม่เชื่อ สันติวิธีก็ไม่มีทางที่จะใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง สังคม หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งไม่สามารถบังคับใครให้คิดหรือเชื่อในสันติวิธีได้
บทบาทของนักสันติวิธี ก็ไม่ต่างอะไรกับหมอและคนไข้ เพราะอย่างแรกเรื่องสุขภาพคนไข้นั้นต้องรักษาสุขภาพเองก่อน แต่เมื่อเราป่วย หรือ โคม่าแล้วเราจึงจะไปหาหมอ ซึ่งหมอก็จะให้คำปรึกษาแต่ไม่ได้หมายความว่า คนไข้จะเชื่อหมอแล้วทำตามหมอทุกอย่าง ซึ่งก็อยู่ที่ตัวคนไข้เอง นักสันติวิธีก็เช่นกันเราจะให้คำแนะนำต่อเมื่อสังคมนั้นพร้อมและเชื่อในสันติวิธี ซึ่งเราก็จะให้คำแนะนำไปแต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสังคมอีกทีว่าจะนำคำแนะนำนั้นไปใช้อย่างไร
เมื่อมองบริบทปัจจุบันที่คนที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองต่างตกอยู่ในความหวาดกลัวต่อชีวิตและร่างกาย ดร.เอกพันธุ์ ให้คำแนะนำต่อสังคมถึงเครื่องมือที่อาจจะนำไปใช้ลดความรุนแรงได้ ซึ่งเรียกว่า “สันติอาสาสักขีพยาน” กระบวนการนี้ใช้มาหลายครั้งในอดีตเป็นการดูแลนักกิจกรรมที่โดนเด่นและเป็นเป้าหมาย โดยมีกลุ่มสันติอาสาสักขีพยานคอยสังเกตการณ์ อาจจะทำหน้าที่เข้าไปห้ามปรามการกระทำรุนแรง หรือ การบันทึกภาพ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เคยใช้อาสาสมัครเป็น สันติอาสาสักขีพยาน และคอยบันทึกเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจรัฐต่อชาวบ้าน ซึ่งก็อาจจะไม่ได้ทำสำเร็จ100% ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม แต่การจดบันทึกนั้นก็ได้นำมาใช้เป็นประจักษ์พยานในชั้นศาล และอาจจะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจอย่างระมัดระวังมากขึ้น คือ ไม่กระทำการนอกเหนือกฎหมาย เช่น การรุมทำร้ายหรืออุ้มหาย
ดร.เอกพันธุ์ อธิบายด้วยว่า ไม่ได้หมายความว่า การมีสันติอาสาสักขี
เมื่อถามถึงสถานะของนักสันติวิธีที่ถูกวิจารณ์อย่างมากท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ดร.เอกพันธุ์ ตอบอย่างหนักแน่นว่า นักสันติวิธี มีเพียง 10% เท่านั้นที่ทำหน้าที่ “เป็นกลาง” คือ เมื่อต้องอยู่ในฐานะคนกลางในการเจรจา นักสันติวิธี ไม่จำเป็นต้องเป็นกลางเสมอไป สามารถเลือกข้างได้หมด เราอาจจะได้เห็นนักสันติวิธีเป็นผู้นำในการประท้วงด้วยซ้ำไป เช่น การประท้วงที่ฮ่องกงก็เป็นการประท้วงแบบสันติวิธี
การจะจำแนกว่า การชุมนุมครั้งใดเป็นไปตามแนวทางสันติวิธีหรือไม่เส้นแบ่งค่อนข้างไม่ชัดเจน พอจะกล่าวได้ว่า อยู่ที่ข้อเรียกร้องครั้งนั้นๆ ว่า เป็นการยื่นข้อเรียกร้องที่เป็นไปได้หรือไม่หรือมีข้อเรียกร้องที่ชัดเจนหรือไม่ เช่น เรียกร้องไปเรื่อยๆ ยกระดับการชุมนุมไปเรื่อยๆ แบบนี้ไม่ใช่การชุมนุมแบบสันติวิธีเพราะคนที่ถูกเรียกร้องไม่สามารถทราบได้เลยว่า ผู้เรียกร้องต้องการอะไรและจะปฏิบัติแบบไหนถึงจะพอใจ หรือการเรียกร้องที่เป็นไปไม่ได้ เช่น เรียกร้องให้คนอื่นออกนอกประเทศ ก็ไม่ใช่ชุมนุมแบบสันติวิธี การจะเป็นสันติวิธีหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะปิดถนนหรือปิดสถานที่ราชการเท่านั้น
ดร.เอกพันธุ์ เล่าถึงมุมของฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐว่า ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคงต่างก็ต้องผ่านการเรียนเรื่องสันติวิธีและสิทธิมนุษยชนมาก่อน โดยเป็นหลักสูตรแบบเดียวกับที่คนทั่วไปได้เรียน ส่วนจะเข้าใจแค่ไหนนั้นไม่อาจทราบได้ เปรียบเหมือนกับคนทั่วไปที่ผ่านการเรียนรักษาดินแดนมา ผ่านมาหลายปีก็ยิงปืนให้เข้าเป้าไม่ได้แล้ว คือ อาจจะได้เรียนมาจริงแต่ไม่ได้ถูกจริตก็ได้
ดร.เอกพันธุ์ เสนอว่า หลักการที่สำคัญอย่างหนึ่งของสันติวิธี คือ การหาทางอยู่ร่วมกันกับคนที่เราเกลียดหรือเราไม่ชอบ โดยเราก็ต้องเคารพสิทธิของคนที่เราเกลียด พอๆ กับสิทธิของคนที่เราชอบ และตัวเราเอง ต้องยอมรับว่า คนอื่นก็มีสิทธิชอบแบบอื่นจะไล่เขาออกนอกประเทศไม่ได้ โดยไม่ต้องถึงกับรักกันก็ได้
“ระหว่างคนที่เกลียดกับรัก ประยุทธ์ และระหว่างคนเกลียดกับรัก คุณช่อ ต้องถามตัวเองว่ายังอยากอยู่ร่
วมสังคมเดียวกันหรือไม่ เราต้องหาสายสัมพันธ์ของความเป็ นมนุษย์ในฐานะเพื่อนมนุษย์ ถ้าผมมีอำนาจแล้วไล่คุ ณออกนอกประเทศ คุณก็แย่ ถ้าวันนึงคุณมีอำนาจแล้วไล่ ผมออกนอกประเทศ ผมก็แย่เหมือนกัน” ผู้ อำนวยการสถาบันสิทธิมนุ ษยชนและสันติศึกษากล่าว