การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในปี 2562 เป็นการเลือกตั้งที่คนไทยหลายคนรอคอย เพราะนับจากปี 2554 ประเทศไทยก็ยังไม่มีการเลือกตั้งอีกเลย แม้ปี 2557 จะมีการจัดการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ หลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ชินวัตรยุบสภาแต่การเลือกตั้งครั้งนั้นก็ถูกประกาศให้เป็นโมฆะเพราะกลุ่ม กปปส.ไปปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งบางแห่ง ทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งทุกหน่วยพร้อมกันทั่วประเทศได้ตามกฎหมาย และเมื่อ คสช.ยึดอำนาจในเดือนพฤษภาคม ปี 2557 บทสนทนาเรื่องการเลือกตั้งก็เลือนหายไปจากสังคมไทย
ภายใต้การบริหารประเทศโดย คสช. สิทธิเสรีภาพเป็นสิ่งที่ถูกกดทับ การชุมนุมซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนถูกประกาศให้เป็นความผิดทางอาญา ผู้แสดงความเห็นต่างจากผู้มีอำนาจบ้างถูกดำเนินคดี บ้างถูกเรียกไปปรับทัศนคติหรือมีตำรวจทหารไปหาที่บ้านหรือที่ทำงาน ผู้ที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ฯถูกตั้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตลอดเวลาที่คสช.อยู่ในอำนาจอย่างน้อย 98 คน
เมื่อมีการประกาศจัดการเลือกตั้งในปี 2562 ประชาชนเริ่มมีความหวังว่าพื้นที่เสรีภาพการแสดงออกจะเปิดกว้างขึ้นทว่าด้วยระบบการเลือกตั้งที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทก์การคงอยู่ในอำนาจของ คสช. เช่น การออกแบบระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมหรือการให้สว.ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช.ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ และสมาชิก คสช.คนสำคัญ อย่าง พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ ยังคงอยู่ในอำนาจรัฐในวันที่ คสช.ยุติบทบาทไป ขณะเดียวกันกฎหมายที่ออกในยุค คสช. เช่น
พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ยังคงถูกนำมาใช้ดำเนินคดีกับคนที่ทำกิจกรรมต่อต้านผู้มีอำนาจ ขณะที่วิธีการคุกคามอย่างการไปติดตามนักกิจกรรมหรือผู้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่บ้านที่เป็นแนวปฏิบัติในยุค คสช.ก็ยังคงถูกหยิบมาใช้จนถึงเรื่อยมา ขณะเดียวกันการจัดกิจกรรมสาธารณะที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองก็ยังต้องเผชิญอุปสรรคและการขัดขวางในหลายๆ วิธีการ เช่นกรณีของกิจกรรมวิ่งไล่ลุงที่สถานที่จัดแถลงข่าวถูกกดดันจนต้องยกเลิกการให้เช่าสถานที่
การแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่เจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นการพาดพึงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะที่เจ้าหน้าที่เห็นว่าไม่เหมาะสม แม้จะไม่มีรายงานการตั้งข้อกล่าวหาคดีมาตรา 112 ในส่วนที่เป็นคดีใหม่ แต่ก็มีรายงานการนำมาตรการอื่นมาบังคับใช้แทน เช่น การใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 หรือการให้เจ้าหน้าที่เชิญตัวมาปรับทัศนคติและเซ็นข้อตกลง
อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่มีความน่ากังวลหลังการเลือกตั้ง ได้แก่การที่ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระที่ควรจะทำหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญรวมถึงพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนซึ่งถูกบัญญัติรับรองไว้โดยรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงของประเทศ กลับบัญญัติความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ในเดือนกันยายน 2562 ทั้งที่ก่อนหน้านี้นับแต่ประเทศไทยเริ่มมีศาลรัฐธรรมนูญในปี 2540 ก็ไม่เคยมีการกำหนดฐานความผิดดังกล่าว
ยิ่งในสถานการณ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเข้ามาวินิจฉัยคดีที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนท่ามกลางสถานการณ์ที่คนในสังคมมีความกระตือรือล้นที่จะวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์บ้านเมือง ศาลรัฐธรรมนูญจึงย่อมหลีกเลี่ยงการถูกวิพากษ์วิจารณ์เมื่อทำคำวินิจฉัยคดีสำคัญได้ยากและการมีอยู่ของฐานความผิดละเมิดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญก็อาจทำให้เกิดบรรยากาศของความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนจนอาจไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยของศาล
จากกรณีทั้งหมดที่ยกมาจึงพอสรุปได้ว่าสถานการณ์เสรีภาพการแสดงออกหลังการเลือกตั้งแม้จะดีขึ้นและพื้นที่การแสดงออกพอจะเปิดกว้างขึ้นบ้าง หากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในยุคที่ คสช.ยังบริหารประเทศ แต่ด้วยกลไกที่ คสช.วางไว้ในช่วงที่ยังมีอำนาจ รวมทั้งบุคคลใน คสช.ยังอยู่ในอำนาจรัฐ ในสถานะอื่น เช่น บุคคลในคณะรัฐมนตรีหรือ ส.ว. และกฎหมายที่ออกในยุค คสช. เช่น พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ยังคงบังคับใช้อยู่ สถานการณ์เสรีภาพในไทยจึงยังไม่ดีขึ้นตามมาตรฐานของสังคมประชาธิปไตย
อ่านรายงาน >>> Thailand Post Election Report: พ.ร.บ.ชุมนุม เครื่องมือปิดกั้นการชุมนุมหลังยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.
อ่านรายงาน >>> Thailand Post Election Report: คนอยากเลือกตั้งกับภารกิจที่ยังไม่จบสิ้น
อ่านรายงาน >>> Thailand Post Election Report: ข้อหา “หมิ่นประมาท” มาแรง ใช้ฟ้อง “ปิดปาก” ได้เกือบทุกเรื่อง
อ่านรายงาน >>> Thailand Post Election Report: ชาวบ้าน-นศ.-อนาคตใหม่หืดขึ้นคอ ถูกปิดกั้น-กิจกรรมลดความแหลมคม
อ่านรายงาน >>> Thailand Post Election Report: ม.116 “ยุยงปลุกปั่น” อาวุธทางการเมืองและสิ่งทดแทน ม.112
อ่านรายงาน >>> Thailand Post Election Report: รวมความ (ไม่) เคลื่อนไหวคดี 112 – มาตรการใหม่ที่ใช้แทน
อ่านรายงาน >>> Thailand Post Election: เมื่อตุลาการเริ่มตอบโต้การวิพากษ์วิจารณ์ด้วยกฎหมาย