เวลาประมาณ 09.00 น. ศาลแขวงพระนครเหนือ นัดสืบพยานโจทก์ และจำเลย คือ ร.ต.อ.ธนากร ยอดแก้ว พนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว ซึ่งเป็นผู้รับแจ้งความร้องทุกข์ และเป็นผู้ทำสำนวนคดีแจ้งความเท็จ ส่วนศักดิ์ชัย สุขสอาด กับ วิชัย ภัสโรวัฒนา พยานที่จะมาให้ความเห็นในเรื่องถ้อยคำไม่มาศาล โจทก์จึงขอตัดพยานสองปากนี้ออก ส่วนพยานจำเลยมีสองปาก คือ เอกชัย และโชคชัย จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2
ที่ห้องพิจาณาคดีที่ 17 ในเวลา 09.30 น. เอกชัย เดินทางมาถึงศาล โดยแจ้งว่า ได้เดินทางมาพร้อมกับพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลาดพร้าวอีกสองคน ส่วนโชคชัย เดินทางมาถึงศาลตั้งแต่เวลาประมาณ 08.00 น. โดยบรรยากาศในห้องพิจารณามีเพียงทีมทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ผู้สังเกตการณ์จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และไอลอว์เท่านั้น
สืบพยานโจทก์ปากที่ 2 ร.ต.อ.ธนากร ยอดแก้ว พนักงานสอบสวนผู้รับแจ้งความจากจำเลย
เวลา 10.00 น. ผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดี โดยให้เริ่มสืบพยาน และสาบานตนทันทีทันที ร.ต.อ.ธนากร ยอดแก้ว เบิกความว่า ปัจจุบันอายุ 29 ปี เป็นพนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว รับราชการตำรวจมาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน มีหน้าที่ในการรับแจ้งความร้องทุกข์
อัยการให้ ร.ต.อ.ธนากร เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ร.ต.อ.ธนากร เบิกความว่า เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2561 เวลาประมาณ 12.30 น. เอกชัย หงส์กังวาน และโชคชัย จำนามสกุลไม่ได้ อัยการจึงถามแทรกว่า ใช่ “ไพบูลย์รัชตะ” ไหม ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า “ใช่” ได้เข้ามาแจ้งความ ร้องทุกข์ ว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ มีความผิดในฐานกบฏ โดยแจ้งว่า เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2561 พล.อ.อภิรัชต์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับการรัฐประหารว่า ในเรื่องความสงบหรือการเมืองก็ตาม ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร โดยทั้งสองคนแจ้งว่า คำพูดดังกล่าวเป็นการขู่เข็ญ เข้าข่าวความผิดข้อหากบฏ ตามมาตรา 113 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ร.ต.อ.ธนากร เบิกความต่อว่า ในการพูดคุยกันระหว่างแจ้งความร้องทุกข์ ไม่ได้แจ้งองค์ประกอบในทางกฎหมายของ มาตรา 113 แก่ทั้งสองคน และได้ลงบันทึกประวันถึงการแจ้งความร้องทุกข์ไว้ เมื่อรับแจ้งความแล้วจึงได้สอบปากคำของทั้งสองคนไว้ในฐานะผู้กล่าวหา ซึ่งในวันแจ้งความทั้งสองคนได้นำพยานหลักฐานมาด้วยเป็นภาพข่าวจากเฟซบุ๊กของ วาสนา นาน่วม
หลังจากนั้น ร.ต.อ.ธนากร จึงได้สอบปากคำพยานเพิ่มเติม คือ วิชัย ภัสโรวัฒนา และศักดิ์ชัย สุขสะอาด ในช่วงเย็นของวันเดียวกัน โดยพยานทั้งสองคนให้การว่า พล.อ.อภิรัชต์ ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์นักข่าวเช่นนั้นไม่ถือว่า เป็นการขู่เข็ญ หรือข่มขู่ หรือเป็นการยืนยันแต่อย่างใด หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนจึงสรุปสำนวนว่า คดีนี้ไม่มีความผิดทางอาญา เนื่องจากไม่มีการกระทำของ ผบ.ทบ. ที่เข้ากับองค์ประกอบทางกฎหมายเรื่องกบฏ เป็นการตอบคำถามสื่อเฉยๆ และทำความเห็นให้ยุติการสอบสวนเสนอต่อผู้บังคับบัญชา คือผู้กำกับ สน.ลาดพร้าว และผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 (ผบก.น.4) โดยผู้กำกับได้ส่งความเห็นให้ ผบก.น.4 มีคำสั่งยุติการดำเนินคดีเช่นกัน
ร.ต.อ.ธนากร เบิกความถึงเหตุการณ์หลังจากนั้นว่า มีผู้รับมอบอำนาจจาก คสช. มาแจ้งความต่อจำเลยทั้งสองคน ในข้อหาแจ้งความเท็จ และข้อหาอื่นซึ่ง ร.ต.อ.ธนากร จำไม่ได้ ในข้อหาแจ้งความเท็จนั้นมีผู้รับผิดชอบเป็นคณะกรรมการพนักงานสอบสวน ซึ่งแต่งตั้งโดยกองบังคับการตำรวจนครบาล 4 (บช.น.4) โดย ร.ต.อ.ธนากร เป็นหนึ่งในคณะกรรมการด้วย และเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2561 ได้เข้าให้การต่อพนักงานสอบสวนในฐานะพยานในคดี
อัยการถามว่า ในส่วนของข้อความที่ ร.ต.อ.ธนากร ให้การกับพนักงานสอบสวนไปว่า การกระทำของ พล.อ.อภิรัชต์ ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดนั้น ได้แจ้งต่อจำเลยทั้งสองคนหรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่ได้แจ้งต่อจำเลยทั้งสองคนด้วยตัวเอง แต่ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้แจ้งให้ทราบ ส่วนร.ต.อ.ธนากร เป็นผู้พิมพ์เอกสาร
สำหรับคดีแจ้งความเท็จนั้นภายหลัง ร.ต.อ.ธนากร ทราบว่าคณะกรรมการฯ มีความเห็นให้สั่งฟ้องจำเลยทั้งสอง
ร.ต.อ.ธนากร ให้การว่า ไม่เคยรู้จักจำเลยทั้งสองเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่รู้จักจากสื่อว่า เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง
ถามค้านโดยทนายจำเลยที่ 1
ทนายเริ่มคำถามว่า คำพูดของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่จำเลยทั้งสองนำมาแจ้ง พยานได้สอบสวน พล.อ.อภิรัชต์ ด้วยหรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่ได้สอบสวน ทนายถามต่อว่าในส่วนของ วาสนา นาน่วม เจ้าของเฟซบุ๊กที่จำเลยทั้งสองนำมาอ้าง พยานได้ออกหมายเรียกเพื่อเรียกมาสอบถามหรือไม่ว่าโพสต์นั้นมีอยู่จริงหรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่ได้ออกหมายเรียก
ในประเด็นความเห็นของบุคคลภายนอกสองคน ที่เห็นว่า การกระทำของ พล.อ.อภิรัชต์ ไม่เป็นการข่มขู่นั้น พยานทั้งสองคนไม่ได้ให้การว่า คำพูดที่จำเลยทั้งสองคนแจ้งความไม่ตรงกับที่ พล.อ.อภิรัชต์ให้สัมภาษณ์กับสื่อใช่หรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า พยานทั้งสองคนไม่ได้พูดเช่นนั้น และในส่วนที่ ร.ต.อ.ธนากร สรุปคดี คือ ไม่เข้าองค์ประกอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ใช่หรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ใช่
ทนายถามต่อว่า พยานไม่ได้สรุปว่าคำพูดที่จำเลยทั้งสองนำมาแจ้งความไม่ตรงกับคำพูดของ พล.อ.อภิรัชต์ ใช่หรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่ได้สรุปเช่นนั้น
ถามค้านโดยทนายจำเลยที่ 2
ทนายจำเลยที่ 2 เริ่มถามค้านว่า พยานเคยทำคดีความผิดฐานกบฏ และคดีแจ้งความเท็จมาก่อนหรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่เคย
ทนายถามต่อว่า ที่ สน.ลาดพร้าว ใช้เวลาสอบสวนในคดีความมั่นคงเฉลี่ยคดีละกี่วัน ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่เคยทราบ ทนายถามต่อถึงคดีแจ้งความเท็จใช้เวลาเท่าไหร่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่ทราบเช่นกัน ทนายถามถึงในส่วนของการพิมพ์ลายนิ้วมือตรวจสอบประวัติใช้ระยะเวลากี่วัน ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า หากเร่งด่วนวันเดียวก็เสร็จ ทนายจึงถามต่อว่า ในคดีกบฏนั้น ได้นัดผู้ต้องหามาพิมพ์ลายนิ้วมือไหม ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่ทราบ ทนายถามว่า คดีกบฏได้รับการเร่งคดีเป็นพิเศษหรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ในคดีกบฏนั้นได้รับการเร่งด่วนเป็นพิเศษ
ทนายถามถึงเหตุการณ์วันที่ 19 ตุลาคม 2562 ว่า มีทหารและสื่อมวลชนมาใน สน.ลาดพร้าวหรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่มีทหารในเครื่องแบบมา ส่วนสื่อมวลชนอยู่บริเวณนอก สน. ทนายถามต่อว่า มีการเข้ามาแจ้งความเวลากี่โมง ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า เวลา 12.30 น. และทนายถามว่ามีการสอบสวนเพิ่มเติมหรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า มีการสอบสวนเพิ่มเติมในตอนเย็นวันเดียวกัน
ทนายถามประเด็นเกี่ยวกับการสอบพยานเพิ่มเติมว่า พยานได้เรียกตัวมาเองใช่หรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ผู้บังคับบัญชาหามาให้เพื่อให้มีหลากหลายอาชีพ ทนายถามต่อว่า พยานรู้จักศักดิ์ชัย สุขสะอาด หรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เคยเห็นใน สน. ทนายถามต่อว่า ศักดิ์ชัยมีญาติอยู่ใน สน.ลาดพร้าวหรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่มี ทนายจึงถามต่อว่า แล้วทราบหรือไม่ว่า ศักดิ์ชัย มีเพื่อน หรือเคยมาหลานมาที่ สน.ลาดพร้าวด้วย ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่ทราบ ทนายถามต่อถึงประเด็นที่เลือกนายศักดิ์ชัยมาเพราะเป็นชาวบ้านธรรมดาใช่หรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ใช่ แต่ไม่ได้ถามความเห็นต่อการรัฐประหาร
ร.ต.อ.ธนากร บอกว่า ไม่ได้เอาคลิปวีดีโอที่ พล.อ.อภิรัชต์ ให้สัมภาษณ์ให้ศักดิ์ชัยดู ให้ดูเพียงภาพข่าว และศักดิ์ชัยน่าจะอยู่ในพื้นที่ที่จะตามมาให้สืบพยานต่อศาลได้
สำหรับพยานที่มาให้ความเห็นอีกคนหนึ่ง คือ วิชัย ภัสโรวัฒนา ทนายถามว่า พยานทราบหรือไม่ว่า วิชัยเป็นทนายความ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ใช่ ร.ต.อ.ธนากรตอบคำถามว่า ไม่ได้เอาให้วิชัยดูคลิป ให้ดูเพียงภาพข่าว ทนายจึงถามต่อว่าพยานมีการสอบพยานเพิ่มเติมเพียง 2 คน เท่านั้นใช่หรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ใช่ และไม่ได้สอบปากคำผู้เชี่ยวชาญทางด้านประวัติศาสตร์ นักการเมือง หรือนักภาษาศาสตร์ เพิ่มอีก
ทนายถามถึงกระบวนการในการทำสำนวนคดีว่า พยานได้ส่งสำนวนคดีให้ผู้บังคับบัญชาภายในวันเดียวกัน โดยทำกระบวนการทั้งหมดภายในวันเดียวใช่หรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ใช่ ทนายถามต่อว่า พนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว ไม่ได้แจ้งความในข้อหาแจ้งความเท็จใช่หรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่ได้แจ้ง และไม่มีผู้บังคับบัญชาไปแจ้งความในข้อหาแจ้งความเท็จกับจำเลยทั้งสอง
ทนายถามพยานในฐานะพนักงานสอบสวนว่า การแจ้งความด้วยข้อความเท่าที่มีอยู่จริงถือว่า เป็นการแจ้งความเท็จหรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่ถือว่าเป็นการแจ้งความเท็จถ้าแจ้งเท่าที่มี ทนายถามต่อว่า เอกชัยได้แจ้งความตามหลักฐานที่ให้ใช่หรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ใช่
ทนายถามถึงประเด็นที่ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ มาแจ้งความให้ดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสองว่า สน.ลาดพร้าว และพยานไม่ได้แจ้งข้อหาแจ้งความเท็จต่อ พ.อ.บุรินทร์ ใช่หรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่ได้แจ้ง ไม่ใช่เพราะเป็น พ.อ.บุรินทร์ แต่ สน.ลาดพร้าวไม่ได้แจ้งความใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
สุดท้ายทนายถามว่า พยานทราบถึงคำพิพากษาศาลฎีกา 2 ฉบับ (เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5236/2549 ) มาก่อนหรือไม่ ที่วางบรรทัดฐานว่า การกระทำแบบใดไม่เป็นการแจ้งความเท็จหรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ไม่เคยทราบมาก่อน
อัยการถามติง
อัยการเริ่มถามติงว่า พยานเบิกความว่าการเอาความจริงมาแจ้งไม่มีความผิด แต่หากเอาไปเชื่อมกันขยายความทำให้ผู้ต้องหาเสียหาย มีความผิดหรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ถือว่าเข้าองค์ประกอบความผิด
อัยการถามต่อว่า การพิมพ์ลายนิ้วมือจะกระทำเมื่อเห็นว่า ผู้ต้องหามีความผิด แต่หากสอบสวนแล้วการกระทำไม่เป็นความผิดก็ไม่จำเป็นต้องเรียกผู้ต้องหามาพิมพ์ลายนิ้วมือใช่หรือไม่ ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า ใช่ ตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะไม่เรียกผู้ต้องหามาอีกเพราะได้ให้ความเห็นว่า ไม่มีความผิดไปแล้ว
อัยการถามว่า เพราะเหตุใดจึงไม่แจ้งความในข้อหาแจ้งความเท็จต่อจำเลยด้วยตัวเองตั้งแต่แรก ร.ต.อ.ธนากร ตอบว่า เนื่องจากได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในคดีไหนก็ทำแค่คดีนั้น
สืบพยานแล้วเสร็จเวลาประมาณ 10.25 น.
สืบพยานโจทก์ปากที่ 3 ร.ต.อ.พรเทพ อินทรนวล พนักงานสอบสวนผู้ทำสำนวนคดีนี้
เวลา 10.30 น. ศาลเริ่มสืบพยานโจทก์ปากที่ 3 และให้พยานเริ่มสาบานตน โดยพยาน คือ ร.ต.อ.พรเทพ อินทรนวล อายุ 28 ปี พนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว รับราชการตำรวจมาตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน มีหน้าที่รับแจ้งการร้องทุกข์ และสอบสวนในคดีอาญา ในคดีนี้เป็นผู้ทำสำนวนคดีในความผิดฐานแจ้งความเท็จ
อัยการให้พยานเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเข้ามาเป็นคณะกรรมการสอบสวนคดีแจ้งความเท็จ ร.ต.อ.พรเทพ เบิกความว่า เหตุก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2561 มีคนเข้ามาแจ้งความในข้อหากบฏ โดยมี ร.ต.อ.ธนากร เป็นพนักงานสอบสวน และมาทราบภายหลังว่า เมื่อคดีไม่มีมูลความผิดผู้บังคับบัญชาจึงสั่งยุติคดี
ในส่วนของคดีแจ้งความเท็จที่พยานเกี่ยวข้องนั้น ร.ต.อ.พรเทพ เบิกความว่า เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2561 พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ เดินทางมาแจ้งความ ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อจำเลยทั้ง 2 คน ในข้อหาแจ้งความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172 และ 173 ร.ต.อ.พรเทพ ได้ลงบันทึกประจำวันไว้ และได้สอบปากคำ พ.อ.บุรินทร์ ตามบันทึกการสอบปากคำผู้กล่าวหา โดยพยานหลักฐานที่ พ.อ.บุรินทร์นำมายื่นประกอบไปด้วย 1. หนังสือมอบอำนาจ 2. บันทึกการถอดเทปที่ พล.อ.อภิรัชต์ ให้สัมภาษณ์ 3. ภาพการแจ้งความของเอกชัย 4. โพสต์การถ่ายทอดสดในเฟซบุ๊กของเอกชัย 5. แผ่นซีดีบันทึกการให้สัมภาษณ์ของพล.อ.อภิรัชต์
ร.ต.อ.พรเทพ เบิกความต่อว่า ได้สอบพยานเพิ่มเติมทั้งหมดสี่ปาก โดย พ.ต.ท.สุรพงษ์ สาขากร สารวัตรสอบสวน สน.ลาดพร้าว ได้นำเฟซบุ๊กของเอกชัย และซีดีบันทึกการสัมภาษณ์ของ พล.อ.อภิรัชต์ รวมถึงบันทึกรายงานการสืบสวนที่ผู้กำกับทำ มาให้พยานรับผิดชอบ อีกทั้งยังมีบันทึกการยุติคดีของ ร.ต.อ.ธนากร ส่งมาให้ด้วย หลังจากนั้นจึงมีคำสั่งจาก กองบังคับการตำรวจนครบาล 4 (บก.น.4) ให้พยานเป็นคณะกรรมการสอบสวนในคดีนี้ด้วย โดย ร.ต.อ.ธนากร ถูกสอบคำให้การในฐานะพยานในคดีนี้ด้วย มีการสอบพยานเพิ่มเติมอีก คือ ศักดิ์ชัย สุขสะอาด และวิชัย ภัสโรวัฒนา โดยทั้งสองคนให้การว่า คำพูดที่ พล.อ.อภิรัชต์ตอบคำถามสื่อไม่มีการขู่เข็ญ หรือเป็นกบฏ
หลังจากนั้นร.ต.อ.พรเทพ นัดผู้ต้องหาทั้งสองคนให้มารับฟังข้อกล่าวหาในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 ในความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 172 และ 173 ผู้ต้องหาทั้งสองคนให้การปฏิเสธ ตามรายงานประจำวันที่ได้ทำบันทึกไว้ พร้อมทั้งแจ้งสิทธิแก่ผู้ต้องหาและได้สอบปากคำผู้ต้องหาทั้งสองคน
ร.ต.อ.พรเทพ เบิกความว่า สาเหตุที่มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองคน เนื่องจากเชื่อว่า การกระทำของผู้ต้องหาเชื่อเป็นความผิด เพราะเห็นโพสต์เฟซบุ๊กของเอกชัย ตามที่ พ.ต.ท.สุรพงษ์ ส่งให้พูดว่า “ถ้านำคดีไปฟ้องศาลเอง ศาลยกฟ้องแน่” จึงมีความเห็นสมควรให้สั่งฟ้อง รวมทั้ง ร.ต.อ.ธนากร ก็ไม่แจ้งข้อกล่าวหา และยุติการดำเนินคดีเนื่องจาก พล.อ.อภิรัชต์ไม่มีมูลความผิดด้วย จึงนำมาประกอบกันเป็นความเห็นในการสั่งฟ้อง
ร.ต.อ.พรเทพ เบิกความในตอนท้ายตอบอัยการว่า ในวันนี้จำเลยทั้งสองอยู่ในห้องพิจารณาคดี และชี้ตัวได้ถูกต้อง พยานไม่เคยรู้จักจำเลยทั้งสองคนมาก่อน แต่เคยได้ยินว่าเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน
ทนายจำเลยที่ 1 ถามค้าน
เวลาประมาณ 11.05 น. ทนายจำเลยที่ 1 เริ่มการถามค้าน ทนายถามว่า คดีที่จำเลยที่ 1 แจ้งความเป็นการแจ้งความแก่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ไม่ใช่การแจ้งความต่อ คสช. ใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ใช่ ทนายถามต่อว่า ผู้เสียหายตามข้อหาแจ้งความเท็จต้องเป็น พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ไม่ใช่ คสช. ใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ใช่ และผู้เสียหายไม่เคยมาแจ้งความเลยใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ใช่ ส่วนผู้มาแจ้งความ คือ คสช. ไม่ใช่ พล.อ.อภิรัชต์ ใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ใช่
ทนายถามว่า ตามคำให้การที่พยานเป็นผู้สอบ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ไม่ได้ยืนยันว่า ข้อความส่วนใดไม่ตรงกับที่ พล.อ.อภิรัชต์ ให้สัมภาษณ์ใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ใช่ เพียงแต่บอกว่า ผิดข้อหาแจ้งความเท็จ และทนายได้ถามว่า หลังจาก คสช. แจ้งความได้รับการเร่งรัดคดีจากผู้บังคับบัญชาใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ทำตามกรอบระยะเวลาปกติ และใช้คณะกรรมการปกติ
ทนายถามว่า มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงนอกเครื่องแบบ เข้ามาในบริเวณห้องที่ใช้สอบสวนหรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า จำไม่ได้ ทนายถามต่อว่า นอกห้องที่ใช้สอบสวนบริเวณ สน.ลาดพร้าวมีเจ้าหน้าที่ทหารหรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า จำไม่ได้ ทนายถามว่า ในคำให้การของเอกชัยระบุว่า "ไม่ทราบข้อความที่ถูกกล่าวหา" แล้วพยานได้เรียกตัว พ.อ.บุรินทร์ มาสอบสวนในประเด็นนี้เพิ่มเติมหรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่ได้สอบเพิ่มเติมใดๆ เลย รวมถึงไม่ได้สอบเพิ่มเติมถึงการกล่าวหาด้วย ทนายถามต่อว่า พยานไม่ได้เรียก วาสนา นาน่วมและ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ มาให้การเพิ่มเติมในการยืนยันว่าข้อความที่นำมาอ้างเป็นของจริงหรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่ได้เรียก และทนายถามว่า ได้ขอให้ พ.อ.บุรินทร์ มาให้การเพิ่มเติมหรือไม่ว่า คำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่นำมาแจ้งความกับสิ่งที่พูดจริงๆ ไม่ตรงกัน ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่ได้เรียกมาสอบเช่นกัน
ทนายถามว่า ในวันที่จำเลยที่ 1 ไปให้การในชั้นตำรวจ จะขอส่งคำให้การเป็นหนังสือภายใน 30 วัน แต่พยานบอกว่าให้ส่งภายใน 7 วัน เพราะคดีเร่งรัดใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่ได้บอกแบบนั้น แต่ทำตามกรอบระยะเวลาในกฎหมาย โดยใช้เวลาในการทำสำนวนการสอบสวนไม่เกิน 14 วัน จึงส่งให้พนักงานอัยการสั่งฟ้อง ทนายถามต่อว่า ในคำให้การของจำเลยที่ 1 บอกว่า ข้อเท็จจริงที่นำไปแจ้งความเป็นข้อเท็จจริงตาม พล.อ.อภิรัชต์ ให้สัมภาษณ์ใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ข้อเท็จจริงตรงกัน ทนายจึงถามถึงส่วนของข้อกฎหมายที่จำเลยที่ 1 นำไปแจ้งความเอาผิดกับพล.อ.อภิรัชต์ คือความผิดตามมาตรา 113 ประมวลกฎหมายอาญาใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ใช่
ทนายถามถึงการสอบพยานเพิ่มเติมว่า ในการสอบปากคำ ศักดิ์ชัย สุขสะอาด และวิชัย ภัสโรวัฒนา พยานเป็นผู้สอบใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ใช่ ทนายถามต่อว่า พยานทั้งสองคนผู้บังคับบัญชาจัดหาเตรียมไว้ให้ใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่ใช่ เนื่องจากทั้งสองคนนี้เป็นพยานเดิมจึงนำมาสอบเพิ่มอีกครั้ง ทนายถามว่า พยานไม่ได้ถามว่า ข้อความที่ พล.อ.อภิรัชต์พูด เป็นจริงหรือเท็จใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่ได้ถาม และถามว่า พยานสรุปความเห็นในการสั่งฟ้องโดยไม่เกี่ยวกับข้อความที่ พล.อ.อภิรัชต์ พูดใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ใช่ สั่งฟ้องโดยใช้ความเห็นของตนเอง ทนายถามถึงประสบการณ์ของพยานว่าเคยทำคดีประเภทไหนที่เกี่ยวข้องมาบ้าง ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่เคยทำคดีกบฏ แต่เคยมีประสบการณ์ทำคดีแจ้งความเท็จ
ทนายถามพยานถึงความผิดฐานกบฏว่า ในคดีที่เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ผู้เสียหายต้องเป็นรัฐเท่านั้น หากประชาชนนำคดีไปฟ้องเองก็จะยกฟ้องใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ใช่
ทนายถามว่าพยานเคยศึกษาคดีของ เรืออากาศตรีฉลาด วรฉัตร หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่เคย
ทนายถามว่าเคยศึกษาคดีที่ สมาชิกวุฒิสภาฟ้องคณะรัฐประหาร หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่เคย
ทนายถามว่า พยานเคยดูคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับคดีแจ้งความเท็จหรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่เคยดูฎีกา ดูแต่ตัวบทกฎหมาย ทนายถามต่อว่า ทราบไหมว่ามีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่บอกว่า หากเป็นการแจ้งความตามจริงไม่ถือว่า เป็นการแจ้งความเท็จ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่ทราบ
สุดท้ายทนายจำเลยที่ 1 ถามว่า พยานไม่ได้ส่งสำเนาคำให้การในชั้นสอบสวนในสำนวนการสอบสวนให้อัยการใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า พนักงานสอบสวนได้ส่งให้อัยการแล้ว แต่อัยการไม่ได้ยื่นเข้ามาเป็นหลักฐานในคดี
ทนายจำเลยที่ 2 ถามค้าน
เวลาประมาณ 11.30 น. ทนายจำเลยที่ 2 เริ่มถามค้าน ทนายถามว่า พยานทราบหรือไม่ว่าการปฏิวัติ รัฐประหาร คืออะไร ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ทราบว่า ทั้งสองอย่างไม่เหมือนกัน การปฏิวัติ คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง การรัฐประหารคือการเปลี่ยนผู้นำประเทศ
ทนายถามว่าในปี 2557 ที่มีการรัฐประหารพยานไม่ได้ฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ ใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ใช่ ทนายถามต่อว่า ที่ไม่ฟ้องเพราะไม่ใช่ผู้เสียหายใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่ใช่ ที่ไม่ฟ้องเพราะตอนนั้นไม่ได้สนใจการเมืองมากกว่า
ในเรื่องของพยานที่เรียกมาสอบเพิ่มเติม ทนายถามว่า รู้จักทั้งสองคนมาก่อนหรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่รู้จักรวมๆ ว่า วิชัย ภัสโรวัฒนา เป็นทนายความ และศักดิ์ชัย สุขสะอาดทำงานมูลนิธิกู้ภัย ทนายถามต่อว่า ทั้งสองคนสามารถติดตามตัวมาเป็นพยานได้หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า สามารถติดตามตัวได้ ทนายถามต่อว่า แล้วทั้งสองคนรู้จัก พล.อ.อภิรัชต์ มาก่อนหรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่น่าจะรู้จักกันมาก่อน ทนายถามว่าทั้งสองคนจะรู้จักการปฏิวัติ รัฐประหารไหม ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่ได้สอบในส่วนนี้
ทนายถามถึงพยานหลักฐานในคลิปที่ พล.อ.อภิรัชต์ ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันดังกล่าวคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.อภิรัชต์ ไม่ได้มีคำพูดเกี่ยวกับการปฏิวัติ รัฐประหารใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ใช่ ทนายถามต่อถึงความเข้าใจของพยานต่อคำว่า “ถ้าไม่เกิด ก็ไม่มีอะไร” ว่าหมายถึงอะไร ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ต้องดูบริบทก่อนว่า พูดถึงเรื่องอะไร ทนายจึงถามต่อว่า หากหมายถึงว่า หากไม่เกิดความรุนแรง ก็ไม่เกิดรัฐประหาร หมายความแบบนั้นใช่หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า หมายถึงถ้าไม่มีความรุนแรง ก็จะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ทนายถามว่า พยานไม่เคยสอบคำให้การ พล.อ.อภิรัชต์ ใช่หรือไม่ว่า ที่พูดหมายถึงอะไร ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่เคยสอบ อีกทั้งยังไม่ได้สอบสวน พ.อ.บุรินทร์ ในคำถามเดียวกันนี้ด้วย ทนายถามถึงข้อความตามฟ้องว่า หากไม่ดูคลิปให้สัมภาษณ์ประกอบจะเข้าใจหรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่เข้าใจ
ทนายถามถึงการรัฐประหารว่า พยานทราบหรือไม่ว่า การรัฐประหารเมื่อปี 2549 และ 2557 ผู้ทำการรัฐประหารเป็น ผู้บัญชาการทหารบก ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ใช่ ทนายถามต่อว่า พล.อ.อภิรัชต์ เคยทำรัฐประหารหรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่เคย ทนายถามว่า ได้สอบสวนหรือไม่ว่า ในวันนั้นทำไมถึงเรียกเฉพาะผู้บังคับบัญชาที่เป็นหน่วยคุมกำลังมารวมกัน ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่ได้สอบสวน ทนายจึงถามต่อว่า แล้วพยานคิดหรือไม่ว่า การเรียกเฉพาะผู้คุมกำลังมารวมกันจะเป็นการทำรัฐประหารได้ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ไม่คิด เนื่องจากเป็นนักเรียนเตรียมทหาร และนักเรียนนายร้อยจึงเข้าใจว่า ส่วนมากก็จะเรียกแต่ผู้บังคับบัญชาไป เพราะในงานจะเรียกทหารทั้งกองทัพแสนสองแสนคนไปพร้อมกันไม่ได้ ทนายจึงถามต่อว่า หากพยานให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า จะไม่ทำรัฐประหารจะตอบนักข่าวที่ถามว่าจะมีการรัฐประหารหรือไม่ว่าอย่างไร ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า ทำไปทำไม
ทนายถามต่อว่า แล้วคดีแจ้งความเท็จคดีนี้ทำสำนวนนานหรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า เกือบหนึ่งเดือน ทนายถามว่าทำไมคดีสำคัญถึงไม่มีการเร่งรัดคดี ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า คดีนี้มีระยะเวลาในการเรียกผู้เสียหายและอื่นๆ ทนายจึงถามต่อว่า คดีอาญาทั่วไปใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า แล้วแต่ความยากง่ายของแต่ละคดี และพยานหลักฐานที่มี ทนายถามต่อว่า คดีอาญาสามารถทำสำนวนภายในวันเดียวได้หรือไม่ ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า สามารถทำได้ คำถามสุดท้ายทนายถามว่า พยานเคยทำคดีเสร็จภายในวันเดียวไหม ร.ต.อ.พรเทพ ตอบว่า เคยทำ
อัยการถามติง