18 ตุลาคม 2559
เฟซบุ๊ก ตนหาข่าว จิตอาสา โพสต์ภาพเหตุการณ์ขณะที่ประชาชนจำนวนหลายสิบคน ช่วยกันจับตัวชายหนุ่มคนหนึ่งในเสื้อสีม่วง นำตัวมากราบขอขมาหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมีภาพหนึ่งที่ชายหนุ่มในเสื้อสีม่วงถูกเตะเข้าที่ใบหน้า โดยไม่ปรากฏใบหน้าของคนเตะ
ต่อมา
ยูทูป ทีนิวส์ออนไลน์ เผยแพร่คลิปชื่อ "หนุ่มชลบุรีโพสต์มิบังควรโดนชาวบ้านฮือจับมากราบพระบรมฉายาลักษณ์ 18-10-59" เป็นเหตุการณ์ขณะชายหนุ่มในเสื้อสีม่วง ถูกประชาชนหลายคนลากตัวมากราบพระบรมฉายาลักษณ์ พร้อมกับมีการตะโกนด่าทอ และมีการทำร้ายร่างกาย ทั้งการเตะ และการจบเข้าที่ศรีษะ
ในวันเดียวกัน
ข่าวสดอิงลิช รายงานว่า ได้สอบถามไปยังบริษัทนายจ้างของ "เค" ในจังหวัดชลบุรี ได้ความจากผู้จัดการฝ่ายบุคคลว่า เมื่อบริษัททราบว่าจิรวัฒน์โพสต์ข้อความเข้าข่ายหมิ่นฯ เมื่อคืนวันจันทร์ บริษัททราบเรื่องในตอนเช้าวันอังคารก็ไล่ "เค" ออกทันที
“เราเรียกญาติของเขามาที่บริษัทก่อนเกิดการทำร้ายดังกล่าว และบอกให้ญาติสั่งให้เขาเอาชื่อบริษัทออกจากประวัติในเฟซบุ๊ก” ผู้จัดการฝ่ายบุคคลกล่าว
ข่าวสดอิงลิชยังระบุด้วยว่า ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเปิดเผยว่าเป็นผู้ให้ที่อยู่ของ "เค" กับมวลชนซึ่งมาล้อมบริษัทและเพื่อขอพบตัว โดยไม่คิดว่าเขาจะถูกลงโทษโดยพลการเช่นนี้
ตามบันทึกของพนักงานสอบสวนระบุว่า "เค" ถูกนำตัวส่งพนักงานสอบสวนในช่วงค่ำของวันนั้น โดนก่อนหน้านั้นตำรวจได้พาไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บจากการที่ถูกทำร้ายร่างกาย
20 ตุลาคม 2559
เวลาประมาณ 14.00 พนักงานสอบสวนพา "เค" ไปยังศาลจังหวัดชลบุรี เพื่อขออำนาจศาลฝากขัง โดยพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังระบุว่า ยังต้องสอบพยานอีก 6 ปาก รอผลตรวจของกลาง และผลการตรวจสอบลายพิมพ์มือของผู้ต้องหา จึงขออนุญาตฝากขังผู้ต้องหาไว้ระหว่างสอบสวน เนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษสูง และเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง หากปล่อยตัวไปเกรงผู้ต้องหาจะหลบหนีและไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุร้ายประการอื่น จึงขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา
ศาลจังหวัดชลบุรีมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขัง "เค" จึงถูกนำตัวส่งไปยังเรือนจำจังหวัดชลบุรี
22 พฤศจิกายน 2559
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เข้าช่วยเหลือคดีของ "เค" โดยยื่นขอประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 200,000 บาท ที่ได้มาจากการระดมทุนผ่านทาง
เฟซบุ๊ก "ฟ้าเดียวกัน" โดยคำร้องประกอบการขอประกันตัวระบุว่า ผู้ต้องหาไม่ได้กระทำผิด โดยเฉพาะข้อความที่เป็นประเด็นของคดีนั้นมีปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่สามารถต่อสู้คดีได้ ซึ่งผู้ต้องหาประสงค์จะขอต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
ผู้ต้องหาเป็นบุคคลธรรมดา มีอายุเพียง 19 ปี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ประกอบอาชีพสุจริต ครอบครัวมีฐานะยากจนจึงต้องมาทำงานขายแรงงาน โดยมีภาระต้องเลี้ยงดูตนเอง ส่งเสียมารดาและน้องชายที่ยังเรียนหนังสืออยู่ ผู้ต้องหาไม่อาจไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานในคดีได หากศาลอนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาก็จะไม่หลบหนีและมารายงานตัวตามที่ศาลนัดทุกครั้ง
ศาลจังหวัดชลบุรีพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว
12 มกราคม 2560
ครบกำหนดฝากขังครั้งที่ 7 ศาลจังหวัดชลบุรีนัดให้ ‘เค’ มารายงานตัว โดย 'เค' พร้อมมารดาและนายประกันเดินทางมาศาล ในเวลาประมาณ 9.00 เมื่อมารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่เสร็จแล้ว 'เค' ก็ถูกพาตัวลงไปยังห้องเวรชี้ที่อยู่ใต้ถุนศาล เจ้าหน้าที่ศาลมอบสำเนาคำฟ้องให้กับจำเลยและถามว่าจะให้การอย่างไร 'เค' ตอบว่า ให้การปฏิเสธ
หลัง 'เค' ถูกพาตัวลงไปยังห้องเวรชี้เพื่อถามคำให้การ เจ้าหน้าที่ได้เดินเรื่องเพื่อเปลี่ยนหลักทรัพย์การประกันตัว จากเดิมที่ถือว่าได้ประกันตัวระหว่างการสอบสวนเป็นการขอประกันตัวใหม่ในชั้นศาล จนกระทั่งเวลาประมาณ 12.00 'เค' ก็ได้รับการปล่อยตัว โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ศาลอนุญาตให้ประกันตัวต่อในระหว่างการพิจารณาคดี
15 กุมภาพันธ์ 2560
นัดคุ้มครองสิทธิ หรือนัดสมานฉันท์ ศาลจังหวัดชลบุรีนัดให้ จำเลยไปที่ศูนย์ไกล่เกลี่ย โดยจำเลย มารดา และทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เดินทางไปตามนัดในเวลาประมาณ 9.00 น. โดยในวันนี้ ศาลถามว่า จำเลยทราบคำฟ้องและข้อกล่าวหาแล้วใช่หรือไม่ จำเลยตอบว่าใช่ ศาลแจ้งว่า ประเด็นของคดีนี้คงไม่ได้อยู่ที่การโพสต์เฟซบุ๊กประกาศขายเหรียญ แต่อยู่ที่การคอมเม้นต์โต้ตอบกับบุคคลอื่น หากจำเลยรับสารภาพก็จะได้ลดโทษกึ่งหนึ่ง ซึ่งหากคดีนี้จำเลยรับสารภาพ ศาลก็หนักใจ แต่ถ้าเห็นว่า ตัวเองก็ไม่ได้ทำผิดก็มีสิทธิสู้คดีได้
ในช่วงต้นของการพูดคุย อัยการโจทก์ยังมาไม่ถึง ท่าทีของศาลค่อนข้างผ่อนคลาย และพูดคุยกับจำเลยอย่างเป็นกันเองเพื่อทำความเข้าใจรูปคดี เมื่ออัยการโจทก์เดินทางมาถึง ศาลก็สรุปการนัดคุ้มครองสิทธิในวันนี้ และเนื่องจากจำเลยยืนยันว่า จะขอปฏิเสธเพื่อต่อสู้คดี จึงกำหนดวันนัดครั้งต่อไปเป็นการนัดตรวจพยานหลักฐานเป็นวันที่ 13 มีนาคม 2560
13 มีนาคม 2560
นัดตรวจพยานหลักฐาน
ที่ศาลจังหวัดชลบุรี ห้องพิจารณาคดีที่ 10 อัยการโจทก์ จำลย ทนายจำเลยมาศาล ศาลเริ่มพิจารณาคดีนี้ในเวลาประมาณ 10.30 เนื่องจากติดการพิจารณาคดีอื่นในห้องเดียวกัน โดยอัยการโจทก์แถลงว่า คดีนี้ต้องการนำพยานเข้าสืบทั้งหมด 15 ปาก โดยมีพยานหนึ่งปากที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจขอให้สืบพยานด้วยระบบวีดีโอคอนเฟอร์เร๊นซ์ หากฝ่ายจำเลยรับข้อเท็จจริงของพยานบางปากได้ก็จะตัดพยานออกไปบ้าง และฝ่ายโจทก์ก็นำพยานเอกสารส่งให้ฝ่ายจำเลยตรวจสอบ ส่วนฝ่ายจำเลยแถลงขอนำพยานเข้าสืบทั้งหมด 4 ปาก พร้อมกับนำพยานเอกสารที่เป็นโพสต์เฟซบุ๊กของจำเลยในช่วงเวลาเกิดเหตุ หลักฐานการศึกษา และใบประกาศณียบัตรของจำเลย ส่งให้ฝ่ายโจทก์ตรวจสอบ
ศาลอ่านคำฟ้องให้จำเลยฟังอีกครั้งโดยสรุป และถามว่าจำเลยจะให้การอย่างไร จำเลยลุกขึ้นยืนตอบว่า ให้การปฏิเสธ ศาลถามว่า แล้วเป็นคนโพสต์ข้อความตามที่ถูกฟ้องจริงหรือเปล่า จำเลยตอบว่า เป็นคนโพสต์จริง ศาลบันทึกคำยอมรับของจำเลยไว้
อัยการแถลงว่า พยานที่จะนำเข้าสืบ 11 ปากแรก เป็นผู้เล่นเฟซบุ๊กที่พบเห็นข้อความที่จำเลยโพสต์ ถ้าหากจำเลยรับว่า เป็นคนโพสต์จริงก็สามารถตัดพยานเหล่านี้ออกได้ แต่ทนายความจำเลยแถลงขอให้สืบพยานทุกปาก เนื่องจากต้องการจะถามค้านเกี่ยวกับประเด็นความหมายของข้อความที่โพสต์ โดยศาลขอดูบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของพยานบางปาก เมื่อพบว่า ชั้นสอบสวนพยานได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อความที่โพสต์เอาไว้ด้วย ศาลจึงเปิดโอกาสให้ทนายความจำเลยได้ถามค้าน และให้อัยการนำพยานทุกปากมาสืบ
หลังจากนั้น อัยการแถลงขอให้รับข้อเท็จจริงในพยานปากที่จะต้องนำสืบด้วยระบบวีดีโอคอนเฟอร์เร๊นซ์ เพราะจะนำสืบเฉพาะประเด็นการตรวจสอบข้อมูลอิเล็กทรอนิคส์ว่าจำเลยเป็นคนโพสต์จริงหรือไม่ ทนายความจำเลยแถลงยอมรับข้อเท็จจริงของพยานปากนี้ได้ จึงเหลือพยานโจทก์ที่ต้องนำสืบทั้งหมด 14 ปาก และพยานจำเลย 4 ปาก ศาลให้กำหนดวันนัดพิจารณาคดี 3 วัน เป็นการสืบพยานโจทก์ 2 วัน และสืบพยานจำเลย 1 วัน
22 สิงหาคม 2560
ศาลจังหวัดชลบุรีนัดสืบพยานโจทก์ในคดีนี้ พนักงานอัยการโจทก์ จำเลย และทนายจำเลยสามคนมาศาล คดีนี้พิจารณาคดีโดยเปิดเผย บุคคลภายนอกสามารถเข้าสังเกตการณ์การพิจารณาคดีได้ และสามารถจดบันทึกระหว่างการพิจารณาคดีได้ แต่ผู้พิพากษาได้ขอให้เจ้าหน้าที่ขอชื่อและถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของทุกคนที่มาฟังการพิจารณาคดีไว้ด้วย
ศาลได้อ่านคำฟ้องให้จำเลยฟังอีกครั้งหนึ่ง และถามว่า จำเลยจะให้การอย่างไร จำเลยยืนยันให้การปฏิเสธเช่นเดิม โจทก์จึงเอาพยานเข้าสืบ ซึ่งพยานปากแรกเป็นประชาชนในเขตจังหวัดชลบุรีที่พบเห็นข้อความที่จำเลยโพสต์และมีความรู้สึกโกรธ จึงเป็นตัวแทนของประชาชนที่ทำหน้าที่ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อตำรวจให้ดำเนินคดีต่อจำเลย ส่วนพยานปากที่สองเป็นผู้ดูแลเพจที่มีการโพสต์ข้อความ
แม้ว่า พนักงานอัยการโจทก์จะเตรียมพยานมาในวันนี้ 7 ปาก แต่การสืบพยานดำเนินไปอย่างละเอียดลออ และศาลได้แจ้งแล้วว่า ไม่มีทางที่จะสืบพยานครบทุกปากได้ในวันนี้ และขอให้พยานปากหลังๆ เดินทางกลับก่อน จนกระทั่งหมดเวลาราชการก็สืบพยานโจทก์ไปได้สองปาก และให้เลื่อนการสืบพยานปากอื่นไปในวันรุ่งขึ้น
23 สิงหาคม 2560
ศาลจังหวัดชลบุรีนัดสืบพยานโจทก์ต่อ โดยในวันนี้สืบพยานโจทก์ได้อีกสามปาก เป็นประชาชนในจังหวัดชลบุรีที่เห็นข้อความที่จำเลยโพสต์และมาให้ความเห็น การสืบพยานดำเนินไปจนหมดเวลาราชการก็ต้องยุติ
เนื่องจากการสืบพยานในคดีนี้ดำเนินไปช้ากว่าที่เดิมกำหนดวันนัดกันไว้ และพยานโจทก์อีกหลายปากติดภารกิจไม่สามารถมาศาลได้ในวันนี้ ศาลจึงถามว่า ฝ่ายจำเลยจะยอมรับข้อเท็จจริงของพยานบางส่วนได้หรือไม่ ด้านทนายจำเลยแถลงว่า ไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงได้ เนื่องจากพยานส่วนใหญ่เป็นพยานความเห็นที่จะมาเบิกความทำนองว่า ข้อความที่จำเลยโพสต์เป็นความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112 จึงต้องขอใช้สิทธิถามค้าน ด้านอัยการก็แถลงว่า ไม่สามารถตัดพยานปากใดได้เลย จะขอนำเข้าสืบทั้งหมด
เพื่อให้คู่ความได้โอกาสสู้คดีอย่างเต็มที่ ศาลจึงสั่งให้ยกเลิกวันนัดสืบพยานจำเลยที่กำหนดไว้เดิมในวันที่ 24 สิงหาคม 2560 และกำหนดวันนัดเพิ่มโดยให้สืบพยานฝ่ายโจทก์เสร็จก่อนค่อยสืบพยานจำเลย
8 ธันวาคม 2560
ศาลจังหวัดชลบุรีนัดสืบพยานโจทก์ต่อ และสืบพยานได้เพิ่มอีกสองปาก พนักงานอัยการก็แถลงว่า พยานที่นัดไว้ในวันนี้มีเพียงเท่านี้ ส่วนพยานปากอื่นจะนำเข้าสืบในนัดต่อไป ศาลจึงต้องหาวันที่ทุกฝ่ายว่างตรงกันเพื่อนัดสืบพยานต่อ ซึ่งหาวันที่ว่างตรงกันได้เร็วที่สุด คือ 20 กุมภาพันธ์ 2561 แต่เดือนมีนาคมและเมษายนไม่มีวันที่ว่างตรงกัน จึงกำหนดวันนัดพิจารณาคดีต่อได้เป็นวันที่ 17-18 พฤษภาคม 2561 โดยให้สืบพยานโจทก์ในวันที่ 17 และสืบพยานจำเลยต่อในวันที่ 18
20 กุมภาพันธ์ 2561
ศาลจังหวัดชลบุรี นัดสืบพยานโจทก์ต่อ โดยในวันนี้สืบพยานไปได้เพียงสองปากก็หมดเวลาราชการ ศาลจึงให้คู่ความหาวันนัดที่ว่างตรงกันใหม่ โดยเมื่อถึงกำหนดเวลาโยกย้ายตามระบบราชการในเดือนเมษายน ผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่ในคดีนี้มาแต่เดิมจะต้องย้ายไปทำหน้าที่ที่ศาลอื่น และในนัดหน้าจะให้ผู้พิพากษาองค์คณะใหม่มารับหน้าที่ดำเนินกระบวนการพิจารณคดีต่อ
ศาลจดบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาคดีด้วยว่า จากการตรวจคำฟ้องโดยละเอียดแล้ว เจ้าของสำนวนเดิมยังไม่ได้รายงานสำนวนนี้แก่อธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบจึงให้รายงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 ทราบพร้อมสำเนาสำนวนคดีนี้ด้วย
17 พฤษภาคม 2561
ศาลจังหวัดชลบุรีนัดสืบพยานโจทก์ที่เหลืออีก 4 ปาก ซึ่งสืบพยานโจทก์ไปได้แล้ว 3 ปาก ส่วนพยานที่เป็นนายจ้างของจำเลย ฝ่ายจำเลยแถลงยอมรับข้อเท็จจริงที่พยานปากนี้เคยให้การไว้แล้ว ฝ่ายโจทก์จึงไม่ติดใจนำสืบอีก และแถลงหมดพยานแต่เพียงเท่านี้
18 พฤษภาคม 2561
ศาลจังหวัดชลบุรีนัดสืบพยานจำเลย ซึ่งฝ่ายจำเลยมีพยานเข้าสืบสองปาก คือ ตัวจำเลยเอง และนักวิชาการด้านภาษาศาสตร์ที่มาให้ความเห็นเกี่ยวกับถ้อยคำที่มีการโพสต์กันในคดีนี้ หลังจากสืบพยานเสร็จสิ้น ทนายความจำเลยขอยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีภายใน 30 วัน ศาลกำหนดวันฟังคำพิพากษาเป็นวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 เนื่องจากต้องส่งสำนวนและร่างคำพิพากษาให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 ตรวจก่อน
5 กรกฎาคม 2561
ศาลจังหวัดชลบุรีนัดฟังคำพิพากษา ศาลพิพากษาให้จำเลยมีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ให้จำคุก 8 เดือน ส่วนข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้ยกฟ้อง
หลังจากศาลอ่านคำพิพากษาแล้วจำเลยถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวลงไปในห้องขังใต้ถุนอาคารศาลทันที ด้านนายประกันและทนายความก็ยื่นขอประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ด้วยหลักทรัพย์เดิม ซึ่งในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ศาลสั่งอนุญาตให้ประกันตัว จำเลยจึงได้รับการปล่อยตัวให้กลับบ้านได้
4 มิถุนายน 2562
นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ "เค" พร้อมแม่ และทนายจำเลยเดินทางมาศาลจังหวัดชลบุรีตามนัด เมื่อศาลขึ้นบัลลังก์ก็เปิดซองและอ่านคำพิพากษาทันที สรุปใจความได้ว่า
ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยอุทธรณ์มีอยู่ว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 14(3) ซึ่งแตกต่างจากองค์ประกอบตามมาตรา 14(1) ทั้งโจทก์ก็มีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 14(3) เท่านั้น โจทก์มิได้ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวอีกด้วย ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานเดียวกันได้ พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ