ภายหลังโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์ และเครือข่าย เข้ายื่นจดหมายต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 มาตรา 61 วรรคสอง ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และต่อมาผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติเป็นเอกฉันท์ส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยเห็นตรงกับผู้ร้องว่า
“มาตรา 61 วรรคสอง มีเนื้อหาคลุมเครืออาจทำให้ประชาชนสับสนจนไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ และมีเพียงส่วนของวรรคสี่ซึ่งเป็นบทลงโทษที่ผู้ตรวจการแผ่นไม่ได้เห็นด้วยกับผู้ร้อง เนื่องจากเป็นดุลยพินิจของผู้ออกกฎหมาย”
ดังนั้น สิ่งที่ต้องจับตานับจากนี้คงจะหนีไม่พ้น ทิศทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ จากการพิจารณาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นสิทธิเสรีภาพที่ผ่านมา โดยเฉพาะตั้งแต่การดำรงตำแหน่งของตุลาการชุดนี้เมื่อปี 2551 จนถึงปัจจุบันจะพบว่า หากศาลจะพิจารณาว่ากฎหมายใดขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า กฎหมายนั้นเป็นไปตามเงื่อนในการจำกัดสิทธิเสรีภาพหรือไม่ เช่น “เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงของรัฐ หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” หรือเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพ “เท่าที่จำเป็นและใช้บังคับเป็นการทั่วไป”
โดยกรณีตัวอย่างของการให้เหตุผลในลักษณะนี้ ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ขัดกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 29 และมาตรา 45 วรรคสอง หรือไม่
โดยประเด็นที่ร้องต่อศาลก็คือ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 และมาตรา 45 วรรคสอง เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม เพราะเป็นกฎหมายที่กำหนดอัตราโทษไว้สูงเกินไป ทั้งที่มีลักษณะความผิดคล้ายการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามีโทษจำคุกเพียงหนึ่งปี และมีเหตุยกเว้นโทษ นอกจากนี้ กฎหมายดังกล่าวยังมีอัตราโทษสูงกว่าโทษของความผิดต่อความมั่นคงอื่นๆ อย่างเช่น ประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 116 อีกด้วย
แต่ท้ายที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2555 ว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะ กฎหมายบัญญัติขึ้นเพื่อการรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งอยู่ในเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 วรรคสอง นอกจากนี้ ในมาตราเดียวกันยังกำหนดไว้อีกว่า สิทธิเสรีภาพดังกล่าวอาจถูกจำกัดได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ส่วนประเด็นอัตราโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ก็เป็นการกำหนดเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมกับฐานความผิด และเพื่อไม่ให้เกิดการกระทำความผิดได้โดยง่าย จึงต้องมีโทษสูงกว่ากฎหมายหมิ่นประมาทธรรมดา รวมถึงไม่มีเหตุยกเว้นโทษ นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยังเป็นกฎหมายที่บังคับใช้โดยทั่วไป ไม่ได้มุ่งหมายบังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง และไม่ได้กระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 และ 45 แต่อย่างใด
อีกตัวอย่างที่น่าสนใจก็คือ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 โดยประเด็นที่ร้องต่อศาลว่า มาตรา 32 ของกฎหมายดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ในมาตรา 29 และ 43 ของรัฐธรรมนูญ
โดยกรณีนี้ มีผู้ร้องว่า มาตรา 32 ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มฯ ที่กำหนดว่า ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อมขัดต่อเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพและการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม และกระทบต่อสาระสำคัญของสิทธิดังกล่าวจนเกินจำเป็น
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ว่า พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เพราะวัตถุประสงค์ของกฎหมายคือ การกำหนดมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และช่วยสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน โดยให้ตระหนักถึงพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่าจะก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคต่างๆ อันเป็นอันตรายต่อชีวิตและร่างกายของผู้ดื่ม ทั้งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทหรือก่ออาชญากรรม เป็นปัญหาแก่ครอบครัว และก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ดังนั้น มาตรา 32 จึงถือเป็นหนึ่งในมาตรการควบคุมตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ถึงแม้ว่าบัญญัตินี้จะจำกัดสิทธิและเสรีภาพบางส่วนแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นการจัดระเบียบการประกอบอาชีพ และเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งอยู่ในขอบเขตรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 43 วรรคสอง นอกจากนี้ มาตราดังกล่าวยังเป็นการจำกัดเสรีภาพเท่าที่จำเป็น เนื่องจากไม่ได้ห้ามโดยเด็ดขาดและไม่ได้มุ่งบังคับเฉพาะเจาะจง จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 ด้วยเช่นกัน
และตัวอย่างสุดท้ายก็คือ พ.ร.บ.การประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2522 ที่ศาลปกครองกลางส่งคำโต้แย้งของจำเลยว่ามาตรา 30 ของ พ.ร.บ.นี้ ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 29 และ 41
โดยในกรณีนี้ มีประเด็นที่ร้องต่อศาลว่า มาตรา 30 ของ พ.ร.บ.ประปาฯ ไม่ชัดเจนและสร้างความไม่เป็นธรรมต่อสิทธิในทรัพย์สินของประชาชน เพราะกฎหมายกำหนดว่า การเดินท่อน้ำและติดตั้งอุปกรณ์ไปใต้หรือเหนือดินในที่ดิน ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกิน 80 เซนติเมตร ขึ้นไป ให้การประปาสามารถกำหนดเขตของการวางท่อด้านละไม่เกิน 2.50 เมตร และมีอำนาจรื้อสิ่งที่สร้างหรือต้นไม้ได้โดยต้องจ่ายค่าชดเชยในการใช้ที่ดินและการรื้อถอนหรือตัดฟันต้นไม้ ทั้งนี้ เมื่อมีการชดเชยแล้วเจ้าของเต็มใจไม่รับหรือไม่มีสิทธิรับค่าทดแทนก็จะเรียกค่าทดแทนไม่ได้อีก
แต่ทว่ากฎหมายไม่ได้กำหนดกรณีที่ ถ้าท่อขนาดต่ำกว่า 80 เซนติเมตรจะต้องชดเชยหรือไม่ และเป็นผลให้การประปาไม่ยอมจ่ายค่าชดเชย จนผู้เสียหายต้องร้องผ่านศาลปกครองให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อว่า กฎหมายดังกล่าวขัดต่อ มาตรา 41 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่กำหนดว่า สิทธิในทรัพย์สินย่อมได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย หรือไม่
ท้ายที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2556 ว่า ถึงแม้มาตรา 30 ของ พ.ร.บ.ประปาฯ จะไม่กำหนดให้การประปาจ่ายค่าทดแทนในกรณีวางท่อขนาดไม่ถึง 80 เซนติเมตร แต่รัฐก็ทำให้สิทธิในที่ดินนั้นเสื่อมเสียไปและทำให้เจ้าของที่ดินไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งเป็นการรบกวนสิทธิของประชาชน ดังนั้น หากไม่มีการจ่ายเงินชดเชยก็จะถือว่าไม่เป็นธรรม และเป็นการจำกัดสิทธิเกินความจำเป็นและขัดกับสาระสำคัญแห่งสิทธิตามมาตรา 29 และ 41 ของรัฐธรรมนูญ
จากทั้งสามกรณี เมื่อนำมาเทียบเคียงกับ มาตรา 61 วรรคสอง ของ พ.ร.บ.ประชามติฯ ก็อาจจะพอทำให้คาดเดาทิศทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ว่า น่าจะแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง ได้แก่
หนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญอาจจะวินิจฉัยว่า มาตรา 61 วรรคสอง ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะมาตราดังกล่าวจำกัดสิทธิและเสรีภาพบางส่วนแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อีกทั้งมาตราดังกล่าวยังเป็นการจำกัดเสรีภาพเท่าที่จำเป็น เนื่องจากไม่ได้ห้ามโดยเด็ดขาดและไม่ได้มุ่งบังคับเฉพาะเจาะจง เช่นเดียวกับการวินิจฉัย พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ฯ หรือมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา
สอง ศาลรัฐธรรมนูญอาจจะวินิจฉัยว่า มาตรา 61 วรรคสอง ขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะมาตราดังกล่าวมีความคลุมเครือเนื่องจากไม่ได้นิยามความหมายของคำให้ชัดเจนอาจจะเกิดความไม่เป็นธรรมต่อประชาชน และเป็นการจำกัดสิทธิเกินความจำเป็นและขัดกับสาระสำคัญแห่งเสรีภาพ เช่นเดียวกับ พ.ร.บ.การประปาฯ
ทั้งนี้ ไม่ว่าคำตัดสินจะออกมาในทิศทางใดก็จะมีผลเฉพาะในมาตรานั้นและไม่ได้ส่งผลจนทำให้ พ.ร.บ.ประชามติฯ ถูกระงับการใช้ หรือเป็นเหตุให้ประชามติต้องเลื่อนออกไป ส่วนทิศทางคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นสิทธิและเสรีภาพจะเป็นอย่างไร ขอให้ทุกคนช่วยติดตาม…