![](/wp-content/freedom/sites/default/files/wysiwyg_imageupload/1/53217109148_1a956f9491_b.jpg)
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยังถูกเข้าใจอยู่ว่า “ไม่ทำผิด ไม่ติดคุก” และมีเพียง “ตัวแสบ” ไม่กี่คนที่โดนจับ อย่างไรก็ตามความเป็นจริงนั้
“วันนั้นตำรวจไปบ้านที่ต่างจั
นอกจากนี้คดีดังกล่าวยังไม่ถู
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ย้อนกลับไปผมก็จะทำแบบเดิม ถ้าถึงเวลาต้องกดแชร์ก็จะกดแชร์
อีกครั้ง”
วันที่ 28 กันนายน 2566 นี้ศาลกำลังนัดพิพากษาคดีของเขา แต่กำลังใจของเขายังเต็มร้อย และเชื่อว่าไม่มีความผิดใดที่ตั
เพราะทุกคนควรสนใจการเมือง จุดเปลี่ยนจากคนขายน้ำเต้าหู้สู่ม็อบเยาวชนปี 2563
ธีรวัชเป็นนักเรียนสายอาชีพแห่
“อยู่กรุงเทพฯ เหงามาก เพราะก็ต้องอยู่ที่บ้านกับคุณพ่
ความดื้อของเขาทำให้ในสมัยก่
“แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ผมกับคุ
ธีรวัชใช้เวลาช่วงหนึ่งของชีวิ
“ตอนนี้ผมฝึกงานเพื่อเตรียมเป็
จึงเท่ากับว่า ธีรวัชได้เผชิญหน้ากับพิ
ด้วยเหตุนี้เราจึงสงสัยว่า เพราะอะไรเขาจึงเริ่มหั
“คนรอบตัวสนใจการเมือง ผมก็สนใจด้วย อยู่ในทุกกลุ่มอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องเบสิกอ่ะครับ ต้องสนใจ ไม่สนใจสิแปลก”
ธีรวัชเริ่มสนใจการเมื
![](/wp-content/freedom/sites/default/files/wysiwyg_imageupload/1/53217308030_8d9376e8d0_c.jpg)
“เริ่มสนใจจริงๆ คือ ช่วงการเลือกตั้งปี 2562 ที่ประยุทธ์ชนะการเลือกตั้ง คนด่าประยุทธ์บ่อยมาก เราก็อยากรู้ว่าทำไมประยุทธ์ถึ
ด้วยเหตุนี้ทำให้ธีรวัชตัดสิ
แต่ในตอนนั้นเขาก็ยังไม่รู้ว่
กดแชร์สเตตัสก็ทำให้เกือบติดคุก เมื่อคดีมาตรา 112 เงินประกันตัวสูงกว่าคดียาเสพติด
เขาอายุเพียง 18 ปี กับอีกไม่กี่เดือนนัก เมื่อมีเจ้าหน้าที่เดิ
“ตอนที่กดแชร์สเตตัสนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะโดนคดี เพราะคนแชร์ร่วมกันเยอะมาก เราแค่ไม่รู้ไปใช้ชื่อจริงนามสกุลจริง-ไม่ได้ตั้งค่าให้เป็นส่วนตัว เราเห็นคนแชร์เยอะทำไมเราจะแชร์บ้างไม่ได้ เราไม่น่าจะเป็นคนโดน”
เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าการแชร์สเตตัสเพียงสเตตัสเดียวจะทำให้มีการดำเนินคดีตามมา โดยเฉพาะในประเด็นการเมืองที่มีคนร่วมแชร์กันเป็นจำนวนมหาศาล ปัญหาสำคัญที่เขาตระหนักได้คือการใช้ชื่อและนามสกุลจริงในการแชร์สเตตัสการเมือง ที่สำคัญคือการไม่ได้ตั้งค่าไว้ให้เป็นการแชร์ในลักษณะส่วนตัว แต่เป็นการแชร์แบบสาธารณะที่คนอื่นๆ สามารถมองเห็นได้ ประกอบกับชื่อนามสกุลจริงที่เขาใช้ยังเป็นภาษาไทยอีกด้วย จึงอาจจะยิ่งเป็นการสร้างความสะดวกให้แก่เหล่า “นักร้อง” ที่ตามหากลุ่มคนที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ไปร้องทุกข์กล่าวโทษแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ
![](/wp-content/freedom/sites/default/files/wysiwyg_imageupload/1/53216800421_2b09b7ca7a_c.jpg)
“วันนั้นตำรวจไปบ้านที่ต่างจังหวัด คุณย่าเลยโทรหาเรา กลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะเป็นคดีเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เราเลยบอกตำรวจว่าเราจะไปหาที่สถานีตำรวจวันต่อไป เราก็ไปแบบไม่มีทนายเลยเพราะตำรวจบอกคุณย่าให้หลานไปหา ไปยอมรับ แล้วจะไม่เป็นอะไร”
ด้วยเหตุนี้ธีรวัชจึงเดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรบางแก้วเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2564 ซึ่งตอนนั้นเจ้าหน้าที่ก็ “สืบ” ด้วยการถามคำถามจำนวนมาก เช่น ทำไมจึงทำแบบนี้ ทำไปทำไม โดยที่ไม่ได้มีทนายร่วมด้วย จนกระทั่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกให้เขามาในวันต่อไป ซึ่งธีรวัชระบุว่าวันต่อไปที่มาถึงก็คือวันที่เขาไปศาลและถูกนำตัวลงไปยังใต้ถุนศาลเพื่อรอส่งเข้าเรือนจำเสียแล้ว ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ธีรวัชได้เจอกับทนาย
“ตอนที่ถูกเรียกตัวไปพบเจ้าหน้าที่ เขาสัมภาษณ์เราจริงๆ แค่ประมาณหนึ่งชั่วโมง ที่เหลือเขาทำอะไรของเขาก็ไม่รู้ ตอนเขาถามก็จะถามช้าๆ เหมือนเน้นประเด็น ที่เหลือเขาก็มัวแต่พิมพ์อะไรสักอย่าง”
สาเหตุที่ธีรวัชยอมไปพบเจ้าหน้าที่ครั้งนี้ เขาระบุว่าเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกกับคุณย่าให้ธีรวัชต้องไปตามนัดจะได้ไม่เป็นอะไร หากไม่ไปจะถูกออกหมายจับ ซึ่งธีรวัชก็ระบุว่าเขาไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเขา แต่ก็ได้เจอกันแล้วในชั้นศาล โดยคาดว่าเป็น “นักฟ้อง” ที่ไม่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษคดีมาตรา 112 แค่ของเขาเท่านั้น แต่น่าจะเป็นขาประจำของศาลนี้เสียด้วย
การต่อสู้ทางคดี ธีรวัชมีจุดแข็งว่าในช่วงเวลาที่ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษเขาเพิ่งมีอายุ 18 ปีมาได้ไม่นาน ทนายความของเขาจึงพยายามต่อสู้เพื่อให้คดีของเขาถูกยกไปพิจารณายังศาลเยาวชนแทนศาลทั่วไป เนื่องจาก “พระราชบัญญัติ ศาลเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553” มาตรา 97 เปิดโอกาสให้บุคคลอายุไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์ หากศาลพิจารณาเห็นว่ามีสภาพเช่นเดียวกับเด็กหรือเยาวชน โดยคำนึงถึงสภาพร่างกาย สภาพจิต สติปัญญา และนิสัยแล้ว สามารถมีคำสั่งโอนคดีไปพิจารณาในศาลเยาวชนได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพจิตเพื่อระบุวุฒิภาวะที่ชัดเจนจากสถาบันจิตเวช โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา แต่ก็ไม่สามาถทำให้เขาสามารถย้ายคดีนี้ไปสู่ศาลเยาวชนได้สำเร็จ
“ตอนแรกที่ไปเราคุยกับหมอ หมอก็เหมือนเป็นนักศึกษาแพทย์ก็เข้าใจเรานะว่าเราไม่ได้เป็นอะไร เราต้องการความช่วยเหลือ หมอเขาก็คุยกันสักพักกับอาจารย์หมอ เราก็ชื้นใจแล้วแต่พอผลออกมาเราก็เซ็งนิดหน่อยว่าเขาช่วยเราไม่ได้”
ธีรวัชต้องใช้เงินประกันตัวระหว่างสู้คดีสูงมากถึง 150,000 บาท จำนวนนี้ถือว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก โดยเฉพาะตอนที่ธีรวัชเปรียบเทียบจำนวนเงินประกันของเขากับจำนวนเงินประกันในคดีอื่นๆ ที่เขาได้เจอ ณ ใต้ถุนศาล
“ทั้งที่ในห้องตอนนั้นเงินประกันตัวสูงสุดที่ได้ยิน คือ ประมาณหนึ่งถึงสองหมื่นบาทในคดียาบ้า… แต่เอาจริงๆ ก็พอจะเข้าใจเลยว่าทำไมคดีผมแพง ก็เขาจะแกล้งเรา มันก็เขียนไว้ในมาตราเลยว่าเป็นการอาฆาตมาดร้าย ทั้งที่เราแค่แชร์โพสต์ เลยไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่เงินประกันจะสูง”
หลังจากจ่ายเงินประกันตัวด้วยเงินของกองทุนดาตอร์ปิโด ธีรวัชต้องไปต่อสู้คดีในชั้นศาลอีกปีละสี่ถึงห้าครั้ง ทำให้ตั้งแต่ปีที่ถูกอัยการสั่งฟ้องจนถึงปัจจุบันเขาต้องเสียเวลาไปศาลมากเกินสิบครั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การอยู่ต่างจังหวัดก็ทำให้เขาต้องเดินทางไป-กลับเสมอ สร้างความเหนื่อยล้าเป็นเท่าทวี
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด” เมื่ออุดมการณ์ที่มั่นคงปะทะกับกฎหมายที่บ้าคลั่ง
หลังการถูกทำให้ไปพัวพันกับคดีมาตรา 112 ธีรวัชก็มีคนมาให้กำลังใจเยอะมาก ทว่าก็ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำเช่นกัน ส่วนมากจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเขาในกลุ่มอื่นๆ
“เราเห็นจากกลุ่มอื่นแต่ก็ไม่ได้ไปโต้ตอบอะไรเพราะอยู่ในช่วงคดี เดี๋ยวคดีจะเพิ่ม”
แต่คำวิจารณ์เหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาสั่นคลอนความคิด เราได้ถามเขาว่าหากสามารถย้อนเวลากลับไปได้จะกลับไปแก้ไขอะไรบ้างไหม ซึ่งธีรวัชตอบกับเราอย่างแน่วแน่ว่า
![](/wp-content/freedom/sites/default/files/wysiwyg_imageupload/1/53217307980_ea0e75a4a0_c.jpg)
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ย้อนกลับไปผมก็จะทำแบบเดิม ถ้าถึงเวลาต้องกดแชร์ก็จะกดแชร์อีกครั้ง”
แต่เขาก็ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เขาจะระมัดระวังมากขึ้นด้วยการตั้งสถานะให้สามารถเห็นแค่เพื่อนเท่านั้น เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ได้ผิดอะไร เขาระบุว่าทุกคนรู้แก่ใจลึกๆ อยู่แล้วว่ามันไม่ผิด ดังนั้นไม่จำเป็นต้องแก้ไขการกระทำอะไรทั้งนั้น
“หากพิพากษาแล้วผลออกมาว่าติดคุก ผมจะสูญเสียตำแหน่งการได้เป็นผู้จัดการร้านสุกี้ในเดือนหน้า… แต่ผมเคลียร์ชีวิตตัวเองแล้ว ไม่ผูกมัดสัญญาอะไร ถ้าติดก็ติด มันเต็มที่แล้ว เหลือแค่เขาจะแกล้งเราต่อไหม”
ธีรวัชไม่ได้บอกกับที่ทำงานว่าเขาเป็นผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 เนื่องจากเขาไม่รู้ว่า ผู้บริหารในระดับสูงขึ้นไปมีแนวคิดทางการเมืองเป็นอย่างไรบ้าง ถึงแม้ในระดับเพื่อนพี่น้องที่รู้จักกันในองค์กรจะมีแนวคิดทางการเมืองที่ใกล้เคียงกันมากก็ตาม
“เราไม่รู้ว่าเจ้าของจริงๆ เขาโอเคไหม ป้องกันไว้ก่อน ส่วนถ้าเราต้องติดคุกเราก็แค่จะหายไปเลย”
เขายอมรับกับเราว่าหากต้องติดคุกเราก็คงเศร้าพอสมควร แต่ก็ยืนยันว่าไม่ได้แปลกใจนักเนื่องจากทำใจไว้แล้วเกือบครึ่งว่ามีโอกาสต้องติดคุก เราจึงตัดสินใจถามเขาต่อว่าได้เผื่อใจไว้หรือไม่ว่าหากไม่ติดคุกแล้วจะทำชีวิตต่อไปอย่างไรบ้าง
![](/wp-content/freedom/sites/default/files/wysiwyg_imageupload/1/53215925547_bcb3e7822c_c.jpg)
“พ้นจากคดีนี้ได้ก็จะกลับไปเรียนต่อ อยากไปต่อมหาวิทยาลัย วุฒิผมตอนนี้สูงแค่ ปวช. แต่อยากจบมหาวิทยาลัยเพื่อเอามาต่อเรื่องการทำงาน”
อย่างไรก็ตาม เขายังไม่รู้ว่าจะเรียนคณะใดในมหาวิทยาลัยต่อไป เขาระบุว่าเป็นสภาวะอารมณ์ที่คล้ายคลึงกับสมัยเขาเรียนมัธยม-ปวช. ที่ยังไม่รู้ว่าอยากจะเป็นอะไรกันแน่ นอกจากการโหยหาชีวิตการทำงานที่มั่นคงและไม่เดือดร้อนตัวเองหรือผู้อื่น การมีใบปริญญาจึงน่าจะช่วยให้เขามีโอกาสมากกว่าในการใช้หางานต่อไปในอนาคต
“อยากให้สังคมไทยรู้ว่ากฎหมายนี้มันไม่ยุติธรรม มันไว้กลั่นแกล้งกันได้ คนไม่ได้ผิด กฎหมายต่างหากที่ผิด ไม่อยากให้เขามาโทษว่าเราทำตัวเอง ไปเปลี่ยนกฎหมายดีกว่า”
ถึงจุดนี้ ธีรวัชยังระบุว่าเขาจะไม่ลดเพดานของตัวเองลงแต่อาจจะรัดกุมมากขึ้น หากอนาคตมีการชุมนุมในประเด็นการเมืองเช่นนี้อีกแล้วเขาสะดวกจากการทำงาน เขาก็ยังคงไปร่วมเช่นเดิม แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ไม่ได้มีหลักมั่นอะไรตายตัวและพร้อมเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตไปมาได้เสมอ แต่สิ่งหนึ่งที่ธีรวัชไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยคือ อุดมการณ์ประชาธิปไตยที่เสรี
RELATED POSTS
No related posts