ไม่นานมาแล้ว ประชาชนเคยเข้าชื่อยื่นสภาขอ “แก้ ม.112” แต่สภาไม่รับ!

ปี 2555 ประชาชนเคยเข้าชื่อกัน 26,968 คน ยื่นต่อรัฐสภาเพื่อเสนอให้แก้ไขความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ในมาตรา 112 ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ เป็นกิจกรรมที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม รวบรวมเอกสารรวมทั้งสำเนาทะเบียนบ้านได้ภายใน 112 วัน สุดท้ายประธานสภาสั่งไม่รับไว้พิจารณา

หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในปี 2553 เกิดปรากฏการณ์การจับกุมดำเนินคดีตัวละครทางการเมืองฝั่งเสื้อแดงด้วยข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตามมาระลอกใหญ่ นักเคลื่อนไหวระดับแกนนำ หรือผู้ปราศรัยที่ถูกดำเนินคดี เช่น ยศวริศ หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” สุรชัย แซ่ด่าน ระดับแนวร่วมของผู้ชุมนุมก็ถูกจับหลายคนเช่นกัน เช่น ธันย์ฐวุฒิ หรือ หนุ่มเรดนนท์ เอกชัย หงษ์กังวาน

คดีที่สร้างความสั่นสะเทือนและกระตุกให้สังคมหันมาสนใจปัญหาของมาตรา 112 คือ คดีของอำพล หรือ “อากง SMS” ชายสูงอายุที่ไม่ได้เป็นแกนนำ เขาบอกว่า ตัวเองไม่ได้ฝักใฝ่การเมืองฝ่ายใด และปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด วันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาให้จำคุกอำพล เป็นเวลา 20 ปี ก่อให้เกิดกระแสเรียกร้องให้ยกเลิก หรือแก้ไขมาตรา 112 กระจายออกไปทั่ว มีการเดินขบวนภายใต้ชื่อ “Fearlessness Walk” และแคมเปญ “ฝ่ามืออากง”

คณะนิติราษฎร์ หรือ คณะนิติศาสตร์เพื่อราษฎร เกิดขึ้นจากการรวมตัวของนักวิชาการด้านกฎหมาย ที่สอนอยู่ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันประกอบไปด้วย วรเจตน์ ภาคีรัตน์, ปิยบุตร แสงกนกกุล, สาวตรี สุขศรี, จันทจิรา เอี่ยมมยุรา ฯลฯ เป็นกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทโดดเด่นในการรณรงค์ด้านสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยในช่วงเวลานั้น จัดงานเสวนาและแถลงข้อเสนอให้ แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ มีสาระสำคัญ 7 ประเด็น ดังนี้

1. ให้ยกเลิกมาตรา 112 ออกจากลักษณะว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร

2. เพิ่มหมวดลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

3. แบ่งแยกการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์เป็นคนละมาตรากับการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

4. เปลี่ยนบทกำหนดโทษโดยไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ แต่กำหนดเพดานโทษสูงสุดจำคุกไม่เกินสามปี โดยแยกระหว่างการหมิ่นประมาททั่วไปกับการหมิ่นประมาทที่เป็นการโฆษณาออกจากกัน

5. เพิ่มเหตุยกเว้นความผิด กรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต

6. เพิ่มเหตุยกเว้นโทษ กรณีข้อความที่กล่าวหานั้นได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง และการพิสูจน์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และ

7. ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษผู้ที่ทำความผิด ให้สำนักราชเลขาธิการมีอำนาจเป็นผู้กล่าวโทษเท่านั้น

หลังจากคณะนิติราษฎร์ นำเสนอข้อเสนอต่อสาธารณะก็ได้รับการตอบรับที่ดีพอสมควร ขณะที่บุคคลอีกส่วนหนึ่งในสังคมก็ไม่เห็นด้วย โดยยืนยันว่าต้องเสนอให้ยกเลิกมาตรา 112 เท่านั้น ไม่ใช่การแก้ไข เช่น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โดยมีเครือข่ายประชาธิปไตย อันประกอบไปด้วยคนหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มแดงสยาม, กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ที่นำโดยสมยศ พฤกษาเกษมสุข กำลังรณรงค์เพื่อให้ยกเลิกมาตรา 112 และชักชวนให้คนที่เห็นด้วยมาเข้าชื่อกันเพื่อเสนอยกเลิกมาตรา 112 ด้วย

ปลายปี 2554 กลุ่มนักวิชาการหลายกลุ่มและนักศึกษา นักกิจกรรมในช่วงเวลานั้น นำโดยเครือข่ายสันติประชาธรรม และคณะนิติราษฎร์ จึงประชุมร่วมกันและเห็นพ้องตรงกันที่จะจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อชวนให้ประชาชนใช้สิทธิการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย รวบรวมเอกสารรายชื่อให้ครบ 10,000 ชื่อ เพื่อยื่นเสนอต่อรัฐสภาให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์

ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2542 การเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ ต้องใช้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 10,000 คนขึ้นไป และต้องใช้เอกสารหลักฐาน ทั้งสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำหรับการใช้สิทธิและการรวบรวมรายชื่ออย่างมาก

กิจกรรมรณรงค์ครั้งนี้เปิดตัวในนามคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 หรือ ครก. 112 จัดกิจกรรมครั้งแรกในวันที่ 15 มกราคม 2555 ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ออกนำโดยนักวิชาการอาวุโสสามคน ได้แก่ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, นิธิ เอียวศรีวงศ์ และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร พร้อมกับรายชื่อนักวิชาการ นักเขียน และนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่ร่วมสนับสนุน 112 คน เช่น อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำกับภาพยนตร์, ปราบดา หยุ่น นักเขียนรางวัลซีไรต์, เกษียร เตชะพีระ, รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์, ธงชัย วินิจจะกูล, สุดา รังกุพันธุ์ รวมทั้งเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่ตอนหลังขอถอนชื่อออก

ผู้ที่ทำงานขับเคลื่อนหลักในช่วงนั้นเป็นนักวิชาการเครือข่ายสันติประชาธรรม เช่น พวงทอง ภวัครพันธุ์, ยุกติ มุกดาวิจิตร รวมทั้งนักเขียนกลุ่มแสงสำนึกอย่าง วาด รวี โดยมีการเปิดเว็บไซต์ชื่อ www.ccaa112.org (ปี 2563 เข้าถึงไม่ได้แล้ว) มีเพจเฟซบุ๊กชื่อ คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก. 112)

ภารกิจของ ครก. 112 คือ การจัดกิจกรรมรณรงค์เดินทางไปจัดกิจกรรมหลายๆ จังหวัดเพื่อรวบรวมเอกสารรายชื่อให้ครบ โดยตั้งกำหนดเวลาให้สำเร็จภายใน 112 วัน ข้อจำกัดหลัก คือ ต้องแจ้งข่าวให้ประชาชนนำสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านติดตัวมาจากบ้าน เพื่อมาเข้าชื่อตามกิจกรรมต่างๆ ที่ ครก. 112 จัดขึ้น หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางก็สามารถส่งมาทางไปรษณีย์ได้ โดยดาวน์โหลดแบบฟอร์มจากเว็บไซต์ และแนบเอกสารที่ต้องใช้ส่งไปรษณีย์มาทาง ตู้ ปณ.112 ปณฝ.ราชดำเนิน เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

วันที่ 5 พฤษภาคม 2555 หลังผ่านไป 112 วัน ครก. 112 ประกาศว่า สามารถรวบรวมรายชื่อประชาชนได้ 39,185 รายชื่อ และเมื่อคัดแยกรายชื่อที่ซ้ำหรือเอกสารไม่ครบออกแล้ว เหลือรายชื่อที่สมบูรณ์นำมายื่นต่อรัฐสภาได้ทั้งหมด 26,968 รายชื่อ

วันที่ 30 พฤษภาคม 2555 ครก. 112 นำโดยชาญวิทย์ เกษตรศิริ พร้อมประชาชนราว 300 คน นัดหมายรวมตัวเพื่อนำรายชื่อประชาชนที่เข้าชื่อเพื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 เดินเท้าจากหมุดคณะราษฎร ลานพระบรมรูปทรงม้า ไปยื่นยังอาคารรัฐสภาในขณะนั้น บรรยากาศโดยรวมเป็นไปอย่างคึกคัก มีการนำเอกสารผู้เข้าชื่อแก้ไขมาตรา 112 บรรจุลงกล่องดำจำนวน 12 กล่อง ใส่คอนหาม ซึ่ง “กล่องดำ” ผู้จัดทำตั้งใจจะสื่อความหมายให้เห็นถึงกล่องที่บรรจุไว้ซึ่งความจริงที่อาจถูกปฏิเสธว่า มองไม่เห็น

วิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เป็นตัวแทนออกมารับหนังสือและรายชื่อทั้งหมด พร้อมด้วยจารุพรรณ กุลดิลก และประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยวิสุทธิ์กล่าวว่า จากนี้ไปจะมีการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทั้งหมดก่อน ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวจะต้องใช้เวลาราว 3-4 เดือน

การตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสารผ่านไปด้วยความเรียบร้อย และเมื่อร่างนี้เสนอเข้าสู่สภา ปลายปี 2555 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรส่งหนังสือลงวันที่ 11 ตุลาคม 2555 มายังชาญวิทย์ เกษตรศิริ ระบุว่า สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้วินิจฉัยว่า ร่างพระราชบัญญัติที่ ครก. 112 นำเสนอเพื่อให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ใช่กฎหมายที่เกี่ยวด้วย หมวด 3 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย และหมวด 5 ว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ จึงไม่ใช่กฎหมายที่ประชาชนจะมีสิทธิเข้าชื่อกันเสนอได้ ตามมาตรา 163 ของรัฐธรรมนูญ 2550 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่อาจเสนอร่างกฎหมายนี้ให้รัฐสภาพิจารณาได้

หลังจากนั้นวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 ครก. 112 ได้ทำหนังสืออุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว และจัดแถลงข่าวชี้แจงต่อสาธารณะ ยุกติ มุกดาวิจิตร กล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติแก้ไข มาตรา 112 ที่เสนอต่อประธานรัฐสภานั้น เป็นกฎหมายในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย เพราะประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ใช้จำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี ก็เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย ไม่ได้หมายความว่าเมื่อกฎหมายใดเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์แล้ว จะไม่เป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย พร้อมเรียกร้องให้ประธานรัฐสภาเร่งนำร่างพระราชบัญญัติแก้ไขมาตรา 112 ให้สภาพิจารณาต่อไปโดยเร็ว

ดูหนังสืออุทธรณ์ของ ครก. 112 ได้ คลิกที่นี่

แต่การอุทธรณ์ดังกล่าวก็ไม่เป็นผล รัฐสภาไม่ได้รับข้อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ของประชาชนไว้พิจารณา จนกระทั่งปลายปี 2556 ก็เกิดความขัดแย้งทางการเมืองระลอกใหม่ และนำไปสู่การรัฐประหารในปี 2557 เมื่อรัฐสภาและรัฐธรรมนูญถูกยกเลิก ข้อเสนอต่างๆ ที่ค้างอยู่ในสภาก็เป็นอันตกไป

You May Also Like
อ่าน

เปิด 10 อันดับ คดีมาตรา 112 ที่ลงโทษ “หนัก” ที่สุด

ตลอดช่วงเวลาของความขัดแย้งทางการเมือง มาตรา 112 ถูกนำมาใช้ดำเนินคดีในปริมาณมากอย่างมีนัยยะสำคัญ และในช่วงเวลาที่มีนโยบายการบังคับใช้กฎหมายอย่างรุนแรง ก็เป็นผลให้มีประชาชนที่ถูกพิพากษาว่า มีความผิดในข้อหามาตรา 112 ถูกตัดสินจำโทษมากที่สุด ดังนี้
อ่าน

ศาลอนุญาตฝากขังตะวัน – แฟรงค์ต่อ 12 วัน อ้างตำรวจรอผลตรวจกล้องหน้ารถในจุดเกิดเหตุ

วันที่ 20 มีนาคม 2567 เวลา 9.00 น. ศาลอาญา รัชดาฯ นัดไต่สวนคำร้องคัดค้านการฝากขังทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวันและณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือแฟรงค์ ผู้ต้องหาคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 จากเหตุการณ์บีบแตรใส่ตำรวจท้ายขบวนเสด็จของกรมพระเทพฯเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567 โดยในการไต่สวนนัดนี้ พนักงานสอบสวน สน.ดินแดงยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาทั้งสองต่ออีกเป็นครั้งที่สี่ ระหว่างวันที่ 21 – 1 เมษายน 2567 หลังการไต่สวนคัดค้านการฝากขัง ศาลอนุญาตให้ฝากขังทั้งสองต่อ ตามคำร้องที่พนักงานสอบสวนอ้างว่าจำเป็นต้องรอผลตรวจคลิปวิดีโอที่ติดหน้ารถยนต์ของประชาชนที่อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุว่ามีการแก้ไขหรือตัดต่อหรือไม่ แม้พนักงานสอบสวนจะยอมรับว่าผู้ต้องหาทั้งสองไม่สามารถจะยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้ก็ตาม