รับมือโควิดในสวีเดน: How chilling Sweden handle this situation?

เรื่องโดย
ชนกานต์ ชูชีพชื่นกมล
นักศึกษาปริญญาโท สถาบัน KTH Royal Institute of Technology

 

ในฐานะนักเรียนไทยที่ได้รับทุนมาเรียนต่อ ณ ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็น “หัวใจ” ของสแกนดิเนเวีย (The heart of Scandinavia) แห่งนี้ ในช่วงเวลาแบบนี้เป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจที่เราจะได้เห็นการรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสจากประเทศที่เรามองว่าพัฒนาแล้วหรือประเทศโลกที่ 1 แต่ในขณะเดียวกันก็มีเรื่องน่าตกใจให้เห็น 

Image by David Mark from Pixabay

 

ผู้ป่วยในสวีเดนรายแรกมีข่าวเมื่อวันที่ 31 มกราคม ว่าติดเชื้อโควิด-19 จากการเดินทางกลับมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และผู้ป่วยคนนั้นไม่ได้อาศัยอยู่ในสต็อกโฮล์ม แต่อาศัยอยู่ในเมืองทางใต้ ช่วงเวลานั้นยังไม่มีใครสนใจกับข่าวนี้มากนัก สื่อหลักไม่ได้พูดถึง เป็นเหมือนข่าวที่ส่งต่อๆ กันในกลุ่มเพื่อนหรือกลุ่มคนรู้จักมากกว่า ตอนนั้นสถานการณ์ในจีนหนักกว่ามาก ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ให้ความสำคัญจนถึงขั้นไม่ได้ตามข่าวสารเลยด้วยซ้ำ

ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่การติดเชื้อที่อิตาลีรุนแรงขึ้นและมีการรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตในอิตาลี คนเริ่มพูดถึงเรื่องนี้กันมากขึ้น เนื่องจากมองว่าใกล้ตัวเพราะมาถึงยุโรปแล้ว คนเอเชียในหลายๆ ที่เริ่มถูกจับตามอง ตัวเราเองเป็นคนไทยที่หน้าตาไปทางคนจีนมักจะถูกถามบ่อยๆ ว่า เธอเพิ่งกลับมาจากจีนหรือเปล่า ถ้าป่วยต้องอยู่บ้านทันทีนะ และโดนถามแบบนี้ทุกวันไม่ซ้ำหน้า เพื่อนคนจีนเริ่มใส่หน้ากากอนามัย แต่ข่าวเกี่ยวกับการแพร่ระบาดยังคงไม่เป็นที่สนใจนักในสวีเดน มาเป็นระลอก คนพูดถึงอยู่สักพักก็เงียบหายไป

ในระยะแรกของการติดเชื้อ มีการรายงานอย่างละเอียดว่า ผู้ติดเชื้อได้รับเชื้อจากทางใด แต่เมื่อผู้ติดเชื้อมากกว่า 100 คน ไม่มีการรายงานดังกล่าวอีก คาดการณ์ว่า ผู้ป่วยจำนวนมากเริ่มไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อมาจากไหน จึงหยุดการรายงานไป

ภาพการรายงานข้อมูลผู้ติดเชื้อ

ตลอดช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์จนถึงต้นเดือนมีนาคม จำนวนผู้ติดเชื้อในสวีเดนเพิ่มขึ้นวันละไม่กี่คน (ประมาณ 1-2 คน หรือบางวันก็ไม่มีเลย) ผู้คนยังไม่ตระหนักหรือรู้สึกอะไร เนื่องจากตามปกติแล้วสวีเดนมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ทุกปีจึงทำให้คนจำนวนหนึ่งไม่ได้คิดว่ามันร้ายแรงกว่าไข้หวัดหรือไข้ประจำถิ่นมากนัก 

จนช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 11 (veckan 11) หรือช่วงวันที่ 9-15 มีนาคม ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละหลักร้อยคน หากย้อนไปประมาณ 2 อาทิตย์ ช่วงวันที่ 24-28 กุมภาพันธ์ เป็นช่วง winter break หรือโรงเรียนปิดฤดูหนาว ครอบครัวจำนวนมากไปท่องเที่ยวในอิตาลี ในช่วงเวลานั้นยอดผู้ติดเชื้อประมาณ 90% ได้รับรายงานว่ากลับมาจากอิตาลีและอิหร่าน นอกเหนือจากนั้นเป็นการติดเชื้อจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ

ช่วงเวลานั้นตัวเราเองเริ่มหาซื้อเจลล้างมือและหน้ากากอนามัย แต่หาซื้อไม่ได้ หาซื้อค่อนข้างยาก ร้านขายยาส่วนมากบอกว่า หน้ากากอนามัยไม่มีขาย เนื่องจากปกติไม่มีใครซื้อไปใช้ ใช้แค่ในโรงพยาบาล (ซึ่งจะมีดีลกับบริษัทเจ้าประจำ) ส่วนเจลล้างมือยังพอหาได้ ร้านใหญ่ๆ จะหมดไว แต่ประมาณ 4-5 วันจะมีของมาเติม ณ เวลานั้นยังไม่มีมาตรการปิดโรงเรียนหรือหยุดการทำงาน สนามบินไม่มีการคัดกรอง ไม่มีนโยบายให้กักตัวหากกลับมาจากประเทศเสี่ยง (ซึ่งหลายคนไม่กักตัว) ในขณะที่ประเทศรอบๆ (เดนมาร์ก นอร์เวย์) สั่งปิดเมืองหรือปิดพรมแดน แต่เริ่มมีโฆษณาตามรถไฟใต้ดินและโปสเตอร์บริเวณป้ายรถเมล์ว่าให้ล้างมืออย่างน้อย 30 วินาที ไอหรือจามกับข้อพับด้านใน

ในช่วงเวลานั้น การแพร่ระบาดเป็นที่พูดถึงมากขึ้น กลายเป็นประเด็นที่ทุกคนต้องคุยกัน ในโรงเรียนเด็กเล็กเริ่มมีการตั้งจุดเจลล้างมือ กระดาษทิชชู่เริ่มขาดสต็อก คนเริ่มกักตุนของกิน (เนื่องจากมีข่าวว่า จะปิดร้านค้า) กระแสในสวีเดนเริ่มแตกเป็นสองทาง 

ทางแรก คือ เราต้องตระหนักว่ามันร้ายแรง เริ่มมีการรณรงค์ให้ Social distancing และไม่ทักทายด้วยการจับมือหรือกอด

ทางที่สอง คือ มองว่าผู้คนตื่นกลัว panic เกินไป มันไม่มีอะไรนอกจากไข้หวัด 

สวีเดนเป็นประเทศที่มีสิทธิเสรีภาพสูงมาก การสั่งให้คนกักตัว 14 วันหากกลับมาจากประเทศเสี่ยง ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างรุนแรง จึงไม่สามารถออกคำสั่งดังกล่าวได้ แต่เป็นการ “ขอความร่วมมือ” แทน ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำตาม

วันที่ 12 มีนาคม รัฐประกาศมาตรการ “ไม่ตรวจ” ให้ทุกคนที่สงสัยว่าตัวเองจะติดเชื้อไวรัส คือ จะตรวจให้เฉพาะคนที่มีอาการหนักหรือคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง (กลุ่มเสี่ยงในที่นี้คือเดินทางไปประเทศเสี่ยงหรือมีการสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่เดินทางไปประเทศเสี่ยง) เนื่องจากไม่มีทรัพยากรมากพอในการตรวจ อุปกรณ์ขาดแคลน มีคำสั่งว่าใครป่วยให้อยู่บ้าน ยกเว้นอาการสาหัสจริงๆ ให้โทรไปที่ 1177 และจะได้รับคำแนะนำเบื้องต้นว่าควรอยู่บ้านหรือให้มาตรวจที่โรงพยาบาล มีคำสั่งให้คนหนุ่มสาวที่ติดเชื้อไม่ต้องเข้ารับการรักษา (ย้ำว่าไม่ต้องเข้ารับการรักษา) เนื่องจากมีความเชื่อว่า โรคนี้ไม่รุนแรงในคนวัยหนุ่มสาว จะรักษาเฉพาะคนแก่ เด็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัวเท่านั้น 

นอกจากนี้มีข่าวออกมาว่า บุคลากรทางการแพทย์น้อยกว่าครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่มีความรู้เพียงพอต่อการรับมือโรคระบาด (เนื่องจากประเทศสวีเดนไม่เจอโรคระบาดมาเป็นเวลานานมากแล้ว) ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนดูแลตัวเองให้มาก ในวันเดียวกันมีข่าวคนเสียชีวิตจากการติดเชื้อคนแรก แต่เป็นผู้สูงอายุ ผู้คนจึงยังไม่ได้ให้ความตระหนักเท่าที่ควร

หลังจากวันที่ 15 มีนาคม มีข่าวเด็กในโรงเรียนติดเชื้อ ทำให้บางโรงเรียนสั่งปิดเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ช่วงเวลาเดียวกันมีคำสั่งให้โรงเรียนระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัยปิดทำการสอนจนกว่าจะมีคำสั่งให้เปิด แต่ไม่มีคำสั่งให้โรงเรียนเด็กเล็กหยุด (อนุบาล เนอสเซอรี่ ประถม และมัธยมต้น) มีการให้เหตุผลว่าหากปิดโรงเรียนเด็กเล็ก ผู้ปกครองต้องหยุดทำงานเพื่อมาดูแลลูก และยังไม่มีคำสั่งปิดบริษัทและสถานที่ทำงาน 

ส่วนฟิตเนสและยิมถูกปิดจนถึง 1 เมษายน แต่ไม่มีการปิดร้านอาหารหรือบาร์

รัฐมนตรีการศึกษาของสวีเดนออกมาบอกว่า ทางที่ดีที่สุดในการหยุดโรคนี้ คือ การที่พ่อแม่ไปทำงานตามปกติ มีการประกาศจากเอกสาร Om krisen eller kriget kommer ว่าไม่ให้กักตุนอาหารแต่ให้ประชาชนเตรียมพร้อมตลอดเวลา กลุ่มสหภาพแรงงานของสวีเดน (unionen akassa) ออกมาประกาศว่า ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสจะไม่มีการจ่ายเงินเพื่อชดเชยใดๆ ทั้งสิ้น คนที่ทำงานในร้านอาหารเริ่มโดนลดชั่วโมงทำงาน 

เพื่อนคนจีนเริ่มโดนด่าและ bully ที่ใส่หน้ากากอนามัย เพื่อนคนจีนบางคนเริ่มขอ work from home โดยไม่สนใจว่าจะปิดหรือไม่ปิด ตัวเราเองก็ใส่หน้ากากอนามัยเวลาอยู่นอกบ้านตลอดหลายครั้งที่โดนมองหรือโดนล้อเลียน ยังคงไม่เจอคนที่หน้าตาแบบยุโรปใส่หน้ากากอนามัย

ประมาณวันที่ 20 มีนาคม มีจดหมายมาที่ห้องแล็บในมหาวิทยาลัยว่าให้ส่งแอลกอฮอล์ที่มี ทั้ง Ethanol และ iso-propanol ไปที่โรงพยาบาล เนื่องจากขาดแคลนอย่างหนัก นักศึกษาจีนเริ่มบินกลับประเทศรวมถึงนักศึกษาสวีเดนที่มีบ้านอยู่เมืองอื่นก็เริ่มทยอยกลับ (คือพยายามออกจากสต็อกโฮล์มที่มีการติดเชื้อมากที่สุด) 

รถเมล์ทุกสายมีเชือกกั้นไม่ให้เข้าใกล้คนขับรถมากเกินไป รวมถึงลดจำนวนรถเมล์และรถไฟใต้ดินที่ให้บริการด้วย ในช่วงนั้นมีข่าวประกาศว่า คนที่ต้องการเดินทางกลับเข้าประเทศไทย ต้องมีเอกสารรับรองทางการแพทย์ ทำให้ที่สถานทูตค่อนข้างวุ่นวายพอสมควร ในขณะเดียวกัน คนติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 1,000 คนในเวลา 10 วัน และอัตราการติดเชื้อต่อวันก็เพิ่มขึ้นด้วย ประกอบกับการติดเชื้อที่ประเทศอังกฤษรุนแรงขึ้น และมีคำสั่ง lock-down ประเทศอิตาลี ทำให้คนเริ่มหันมาสนใจเกาะติดสถานการณ์ใกล้ชิด

วันที่ 23 มีนาคม นายกรัฐมนตรีของสวีเดนออกแถลงการณ์สั้นๆ เป็นเวลา 6 นาที สรุปใจความสำคัญได้ว่า ให้ทุกคนเตรียมพร้อม เตรียมตัวเตรียมใจยอมรับการสูญเสียที่กำลังจะเกิดขึ้น และเราเชื่อว่า เราจะผ่านพ้นมันไปได้ มีการรณรงค์ให้ทุกคนหยุดอยู่บ้าน ไม่ออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น แต่ช่วงสัปดาห์นั้นเป็นช่วงที่แดดดี อากาศดีทั้งสัปดาห์ ทำให้ยังคงเห็นพ่อแม่พาลูกหลานออกมาเดินเล่น ผู้คนออกมาออกกำลังกาย ผู้คนจำนวนหนึ่งใช้ชีวิตปกติ 

งานกิจกรรมบางอย่างยกเลิก โรงภาพยนตร์ปิด โรงละครและสถานที่ที่สามารถจุคนได้เกิน 500 คนถูกสั่งให้ปิดอย่างไม่มีกำหนด (แต่ไม่ปิดห้าง) มหาวิทยาลัย KTH Royal Institute of Technology, Stockholm ประกาศห้ามเข้าพื้นที่ 

ปลายเดือนมีนาคม เริ่มมีกระแสสวีเดนในประเทศไทยว่า ผู้คนรับผิดชอบต่อส่วนรวม และเริ่มมีคำถามในสวีเดนกันเองว่า หากมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมคงกักตัวอยู่บ้านหลังจากกลับมาจากอิตาลี โรงเรียนบางแห่งหยุดก็จริงแต่ครูยังคงต้องไปทำงาน (บางคนป่วยก็ยังไป) บริษัทบางแห่งไม่ปิดเนื่องจากหมุนเงินไม่ทัน 

มีข่าวจากคุณครูท่านหนึ่งในโรงเรียนว่า โรงเรียนมัธยมปลายปิดก็จริง แต่นักเรียนไม่ได้อยู่บ้าน จับกลุ่มออกไปเที่ยว ไปเดินห้างกัน จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 500-600 คนและผู้เสียชีวิตวันละหลักร้อยคน มีข่าวว่า เชื้อแพร่เข้าไปในบ้านพักคนชรา ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากติดเชื้อและเสียชีวิตไป 

ในช่วงเวลานี้มีข่าวลือว่า รัฐบาลพยายามจะใช้วิธี “ปล่อยให้ติด” คนสวีเดนบางคนเรียกว่า “วิธีการแมลงหวี่” นั่นคือปล่อยให้เชื้อแพร่ระบาดซึ่งจะทำให้มีผู้ติดเชื้อประมาณ 60% ของประชากรหรือมากกว่านั้น ปล่อยให้มีผู้เสียชีวิต และผู้ที่รอดจากการระบาด คือ ประชากรที่มีสุขภาพที่ดีมากพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้

ช่วงเวลาเดียวกัน มีการขอความร่วมมือมายังห้องแล็บ 3D printing ในทุกมหาวิทยาลัย ให้ช่วยทำ face shield ส่งไปให้ตามโรงพยาบาลเนื่องจากไม่มีใช้ เริ่มมีแผ่นพลาสติกใสกั้นระหว่างแคชเชียร์ในซูเปอร์มาร์เก็ตและคนซื้อของ ในสถานที่บางแห่ง เช่น Migrationsverket (หน่วยที่ดูแลเรื่องคนต่างชาติที่เข้ามาอาศัยในสวีเดน) มีมาตรการให้ผู้มารับบริการยืนเข้าแถวคอยห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร เริ่มกั้นไม่ให้นั่งเก้าอี้บางตัวเพื่อรักษาระยะห่าง หรือสำนักงานภาษี (Skatterverket, Swedish Tax agency) มีการจำกัดจำนวนผู้เข้ารับบริการแต่ละครั้ง โดยให้เข้าแถวอยู่นอกอาคารและจะมีเจ้าหน้าที่คอยบอกให้เข้าไปด้านใน

ต้นเดือนเมษายน การบินไทยยกเลิกเที่ยวบินกรุงเทพฯ – สต็อกโฮล์ม จนถึงกลางเดือนตุลาคม งานประชุมวิชาการยกเลิกทั้งหมด ฟิตเนส ยิม และสถานที่บางแห่งกลับมาเปิดทำการปกติ บางโรงเรียนกลับมาเปิดทำการสอน ในมหาวิทยาลัยยังคงเป็นการเรียนการสอนออนไลน์แต่นักศึกษาระดับปริญญาโทและเอก รวมถึงอาจารย์บางส่วนเริ่มกลับมาทำงาน มีคำสั่งห้ามชุมนุมเกิน 50 คน (จากตอนแรก 500 คน) 

ยังมีผู้คนในสวีเดนเชื่อว่า self-isolation ไม่ได้ช่วยทำให้การติดต่อลดลงแถมการให้ผู้คนหยุดงานทำให้เศรษฐกิจไม่เดินอีก ยังไงคนก็จะติดและตายอยู่ดี นี่คือเหตุผลที่คนจำนวนหนึ่งยังคงออกไปใช้ชีวิตปกติ มีข้อมูลออกมาว่า ผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อส่วนใหญ่อายุระหว่าง 60-69 ปี และมีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคเกี่ยวกับปอดและหัวใจ เบาหวานและความดันโลหิตสูง เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้คนที่นี่ยังคงใช้ชีวิตปกติ แต่โดยส่วนตัวเห็นคนใส่หน้ากากอนามัยแบบผ้ามากขึ้น ผู้คนเริ่มรักษาระยะห่างกันบนรถไฟและรถเมล์

ส่วนหนึ่งของการพูดคุยกันของนักศึกษา

วันที่ 14 เมษายน ยอดผู้ติดเชื้อในสวีเดนทะลุ 1 หมื่นคนและผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อมากกว่า 1,000 คน มีข่าวผู้คนตกงานจำนวนมาก (25% ภายในเดือนเดียว) และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

Anders Tegnell นักวิชาการในโรงพยาบาลออกมากล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ protection เมื่ออาศัยหรืออยู่ในบริเวณเดียวกัน (เช่นบ้านเดียวกัน ห้องเดียวกัน) กับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสนี้ ผู้ที่ต้องดูแลใกล้ชิดเท่านั้น (เช่น พยาบาลส่วนตัวหรือเจ้าหน้าที่ดูแลผู้สูงวัยหรือคนพิการ) จึงจะต้องใส่ ประชนชนในสต็อกโฮล์มยังคงออกมาปิคนิคและเดินเล่นในสวนสาธารณะ 

นับถึง 26 เมษายน จำนวนผู้ป่วยในสวีเดนอยู่ที่ประมาณ 18,000 คน และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 2,100 คน โดยจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นวันละประมาณ 600-700 คนและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นวันละ 100 คน ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า มันกำลังจะลดลงเนื่องจากจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแบบคงที่มาช่วงหนึ่งแล้ว 

ในสื่อหลักมีคลิปรณรงค์ให้ประชาชนอยู่บ้านและ social distancing เมื่อออกจากบ้านและจะต้องพยายามลดจำนวนผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด (We must flatten the curve) ตอนนี้ยังไม่มีมาตรการอะไรเพิ่มเติม แต่คนเริ่มออกจากบ้านมากขึ้น (เพราะอากาศดี, เริ่มเบื่อการอยู่บ้าน) เริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติโดยไม่ตระหนักอีกครั้ง 

ร้านอาหาร ผับ บาร์ โรงภาพยนตร์ ฟิตเนส ยิมยังคงเปิดให้บริการตามปกติและมีประชาชนไปใช้บริการตามปกติ สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเทศกาลอีสเตอร์ซึ่งรัฐไม่ได้ออกมาตรการห้ามเดินทาง ทำให้ยังคงเห็นประชาชนในประเทศเดินทางเพื่อไปท่องเที่ยว (ซึ่งผลจากการเดินทางในวันหยุดครั้งนี้จะเห็นผลในจำนวนผู้ติดเชื้อในอีก 2-4 สัปดาห์ข้างหน้า) 

Anders Tegnell มีแผนจะประกาศใช้ Herd Immunity ในเดือนพฤษภาคมในพื้นที่บางส่วนของสวีเดน แน่นอนว่า มีทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงวิจารณ์แง่ลบ สำหรับคนสวีเดนแล้ว รัฐว่าอย่างไรก็ต้องทำตามนั้น


อ้างอิง

You May Also Like
อ่าน

ผ่านฉลุย! สส. เห็นชอบร่างกฎหมาย #สมรสเท่าเทียม วาระสาม ส่งไม้ต่อให้ สว.

27 มีนาคม 2567 สภาผู้แทนราษฎรมีมติ “เห็นชอบ” ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมในวาระสาม ส่งไม้ต่อให้วุฒิสภาพิจารณาสามวาระ
อ่าน

จับตาประชุมสภา ลุ้น สส. ผ่านร่างกฎหมาย #สมรสเท่าเทียม วาระสอง-สาม

27 มีนาคม 2567 สภาผู้แทนราษฎรมีวาระพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมนวาระสอง-สาม หากสภามีมติเห็นชอบในวาระสาม ร่างกฎหมายก็จะได้พิจารณาต่อชั้นวุฒิสภา