ชีวิตของคนชุมชนเพิ่มทรัพย์พัฒนา “มันใช้ชีวิตปกติไม่ได้แล้วตอนนี้”

หลังจากที่หน่วยงานผู้จัดทำแผนวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาทรัพยากรป่าไม้ในประเทศไทย แสดงความกังวลต่อการลดลงของปริมาณพื้นที่ป่าไม้ในประเทศ ซึ่งอาจกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศวิทยาในพื้นป่าโดยรอบ รวมถึงความอยู่รอดของสัตว์หลายชนิด โดยผู้จัดทำแผนฯ อ้างว่าสาเหตุมาจากการบุกรุกพื้นที่ป่าของทั้งจากชาวบ้านและนายทุน 
ด้วยเหตุนี้ แผนแม่บทพิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ จึงถูกหยิบมาพิจารณาเพื่อประกาศใช้ในการทวงคืนพื้นที่ป่าไม้ รวมถึงปรับปรุง ส่งเสริม และฟื้นฟูระบบการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้ในประเทศ เพื่อให้มีพื้นที่ป่าประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ และให้ประชาชนทั้งในและโดยรอบพื้นที่มีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีตามนโยบายที่วางไว้
รู้จักพื้นที่ "ชุมชนเพิ่มทรัพย์พัฒนา"
ชุมชนเพิ่มทรัพย์พัฒนา ต.ทองไทร อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผนแม่บทพิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ โดยเมื่อกลางเดือนสิงหาคม ปี 2557 มีทหาร 50 นาย เข้าไปในชุมชน เพื่อถามสิทธิในการอยู่อาศัยในพื้นที่จากชาวบ้าน รวมถึงอ้างว่าต้องการเข้ามาดูแลพื้นที่เพาะปลูกของ บริษัทไทยบุญทอง ที่เข้ามาลงทุนทำธุรกิจน้ำมันปาล์มในชุมชน นอกจากนั้นยังสอบถามถึงจำนวนพื้นที่ที่ชาวบ้านเข้าไปใช้ประโยชน์ จำนวนสมาชิกในชุมชน และยังได้ขอรายชื่อสมาชิกทุกคนในชุมชนไปด้วย
ก่อนหน้าที่จะรับผลกระทบจากแผนแม่บทป่าไม้นั้น มีชาวบ้านเข้ามาใช้ประโยชน์จากพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกหรือสร้างที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ ปี 2518 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่พื้นที่บริเวณนั้นจะได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่ “ป่าสงวนแห่งชาติป่าบ้านหมาก และป่าปากพัง” ต่อมาในปี 2527 มีนายหน้าเข้าไปกว้านซื้อที่ดินจากชาวบ้าน ในราคาไร่ละ 200 – 300 บาท และในปี 2528 บริษัทไทยบุญทอง ได้ขออนุญาตและเข้ามาบุกเบิกพื้นที่ป่าสงวนสำหรับการปลูกสวนปาล์มน้ำมัน รวมทั้งบุกรุกพื้นที่ ส.ป.ก. ด้วยอีก 1,114 ไร่ เพื่อใช้พื้นที่ในการแสวงหาผลโยชน์จากการดำเนินการของบริษัท
อย่างไรก็ดีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2543 บริษัทไทยบุญทอง สิ้นสุดสัญญาการขอพื้นที่ใช้ทำประโยชน์ แต่ปรากฏว่าจนถึงปัจจุบัน บริษัทยังไม่ยอมออกจากพื้นที่ดังกล่าว และยังคงใช้พื้นที่บริเวณนี้ทำประโยชน์ต่อไป นอกจากนี้พื้นที่ดังกล่าวคณะรัฐมนตรีมีมติตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2546 ให้ชาวบ้านเข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่แปลงไทรบุญทองได้ทั้งสิ้น 265 ไร่ จากจุดนี้เองที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างชาวบ้านกับนายทุนผู้เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในผืนดินและเม็ดเงินมหาศาลจากผลผลิตในพื้นที่ชุมชนนั้น
ทหารเรียกชาวบ้านปรับทัศนคติและให้ออกจากพื้นที่
หลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เหตุการณ์ไม่ลงรอยยังคงดำเนินต่อเนื่อง วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 มีทหาร 5 นาย เข้าไปยังชุมชนเพิ่มทรัพย์พัฒนา และมีคำสั่งให้ชาวบ้านออกจากชุมชน ปิดล้อมทางเข้า-ออก ห้ามผู้ใดเข้ามาในพื้นที่บริเวณนั้นได้ นอกจากนั้นยังมีประกาศเรียกให้ เพียรรัตน์ บุญฤทธิ์ ประธานสมาชิกกลุ่มสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) กำนันอาวุธ และสารวัตกำนันท่านหนึ่ง ไปรายงานตัวที่ค่ายวิภาวดีรังสิต จ.สุราษฎร์ธานี
โดยระหว่างควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ทหารได้เจรจาขอให้แกนนำทั้งสามเซ็นข้อตกลง (MOU) โดยในข้อตกลงนั้นเป็นการขอให้แกนนำไปเกลี้ยกล่อมชาวบ้านออกจากพื้นที่ นอกจากนั้นยังได้รับการขู่ว่าหากไม่ยอมเซ็นชื่อในข้อตกลง เจ้าหน้าที่จะเรียกชาวบ้านคนอื่นมาปรับทัศนคติด้วย ทำให้แกนนำทั้งสามตัดสินใจเซ็นข้อตกลงในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2558 รวมระยะเวลาที่ถูกควบคุมตัวทั้งสิ้น 3 วัน
เมื่อทหารเข้าไปควบคุมและสั่งห้ามชาวบ้านเข้าไปในพื้นที่ ชาวบ้านจึงพยายามหาวิธีเพื่อที่อย่างน้อยจะได้เห็นความเป็นอยู่และความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ไร่สวนแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ แต่ชาวบ้านพบว่า ไร่สวนบางส่วนถูกรื้อถาง อีกทั้งกระท่อมและกระต๊อบที่ชาวบ้านปิดล็อกไว้อย่างดีแล้วก่อนออกจากพื้นที่ก็ถูกเปิดออก ทำให้ชาวบ้านเกรงว่า เจ้าหน้าที่ทหารจะใช้อำนาจในทางมิชอบจัดการกับผลผลิตของพวกตน และไม่สามารถดูแลทรัพย์สินของชาวบ้านได้ 
ทั้งนี้ แหล่งข่าวได้ตั้งคำถามกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารว่า เป็นการทำงานเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้นายทุน และผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น เนื่องจากบริเวณชุมชนเพิ่มทรัพย์พัฒนานั้นเป็นพื้นที่ที่ใช้ปลูกสวนปาล์ม ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของคนในภูมิภาคนี้ และทุกครั้งที่ทหารเข้าไปยังพื้นที่ชุมชน มักจะมีผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นแฝงตัวตามเข้าไปด้วย
ทหารไม่รับประกันความปลอดภัยหากบอกสื่อ
เมื่อคนหมู่มากเริ่มรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชุมชนเพิ่มทรัพย์พัฒนา ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเกิดความสงสัยว่า ข่าวสารต่างๆ นั้นกระจายออกไปสู่สื่อมวลชนได้อย่างไร จึงได้เรียกตัวเพียรรัตน์ไปพูดคุยอีกครั้งที่หน้าประตูค่ายวิภาวดีรังสิตเป็นเวลาประมาณ 20 นาที นอกจากนั้นยังได้ส่งทหารประมาณ 4-5 คน ตามไปที่บ้านเพียรรัตน์ เพื่อกดดันให้เขาและชาวบ้านหยุดเข้าไปทำประโยชน์ในพื้นที่ พร้อมกันนี้ยังได้ขู่ไม่ให้กระจายความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ไปให้สำนักข่าวหรือสื่อใดๆ อีก ไม่เช่นนั้นจะไม่รับประกันเรื่องความปลอดภัย
"มันใช้ชีวิตปกติไม่ได้แล้วตอนนี้"
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา มีการเข้าร่วมประชุมหารือ ชี้แจง แลกเปลี่ยน และตอบข้อซักถามระหว่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ฝ่ายข้าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่ทหาร และตัวแทนชาวบ้านชุมชนเพิ่มทรัพย์พัฒนา ในประเด็นเรื่องข้อพิพาทในพื้นที่ โดยตัวแทนชาวบ้านตั้งข้อสังเกตว่า การให้การของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทหารนั้นเป็นไปในทางที่โอนเอียงความชอบธรรมไปทางนายทุนหรือบริษัทไทรบุญทองมากกว่า
ต่อมาวันที่ 16 มีนาคม 2558 เวลาประมาณ 11.30 น. มีทหารจากค่ายวิภาวดีรังสิต และเจ้าหน้าที่อาสาจากอำเภอชัยบุรี เข้าไปในพื้นที่ชุมชนเพิ่มทรัพย์ฯ พร้อมทั้งสั่งให้ชาวบ้านทั้งหมดออกจากพื้นที่ทันที โดยมีหนังสือจาก ฉัตรป้อง ฉัตรภูติ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ลงนามรับรองคำสั่ง
เจ้าหน้าที่ทหารยื่นคำขาดว่า หากไม่ยอมออกจากพื้นที่ภายในวันนี้ จะควบคุมตัวชาวบ้านทั้งหมดไปปรับทัศนคติ แต่ชาวบ้านยืนยันไม่ยอมออกจากพื้นที่ รวมทั้งบอกแก่เจ้าหน้าที่ว่า จะควบคุมพวกตนไปที่ไหนก็ได้ แต่อย่างไรก็จะไม่ยอมออกจากพื้นที่นี้ ทั้งนี้ ในขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าไปในหมู่บ้านนั้น มีสมาชิกชุมชนอยู่ในพื้นที่ประมาณ 30 คน โดยมี ชาวบ้าน 5 คนที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ลงชื่อในข้อตกลงไปแล้ว ซึ่งแหล่งข่าวไม่สามารถระบุได้ว่าข้อตกลงที่ลงชื่อไปนั้น เป็นการยอมรับในการต้องออกจากพื้นที่ชุมชนทันทีหรือเปล่า
หลังจากนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่เห็นว่าชาวบ้านไม่ยอมออกจากพื้นที่ จึงยอมถอยกำลังออกไป อย่างไรก็ตาม แม้เจ้าหน้าที่จะออกจากพื้นที่ไปหมดแล้ว แต่ความตระหนกใจยังคงอยู่ อย่างที่ชาวบ้านท่านหนึ่งบอกว่า "มันใช้ชีวิตปกติไม่ได้แล้วตอนนี้"