ในมาตรา 67 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญกล่าวถึง “องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ” ซึ่งเรื่องนี้กำลังถูกตีความออกมาในหลายแบบ ฝ่ายภาคประชาชนกำลังผลักดันร่างพ.ร.บ.องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพด้วยการล่าหมื่นรายชื่อ ขณะเดียวกัน ภาครัฐโดย 4 กระทรวงหลักที่เกี่ยวข้อง ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความออกมาแล้วว่า เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายแห่งชาติ เพียงใช้วิธีแก้ไขในกฎหมายสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ฉบับเดิมก็พอแล้ว
เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 52 ที่สมาคมนักข่าว คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช) และเครือข่ายองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม จัดเสวนา “องค์การอิสระสิ่งแวดล้อม : อิสระหรือขัดรัฐธรรมนูญ?” หลังจากได้ติดตามผลการดำเนินงานของภาครัฐเรื่องการจัดตั้งองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตามที่รัฐธรรมนูญ2550 มาตรา 67 วรรค 2 ได้บัญญัติไว้
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับองค์การอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญ มาตรา 67 และได้สรุปผลการพิจารณาว่า จะเสนอแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายจากร่างเดิม คือ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ให้เพิ่มเนื้อหาว่าด้วยการจัดตั้งองค์การอิสระสิ่งแวดล้อมฯ
ขณะที่เมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการกฤษฎีกาได้นำเสนอข้อสรุปต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงผลสรุปของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 5 เกี่ยวกับการตีความมาตรา 67 ว่า ให้ดำเนินการตามกฎหมายเดิมที่มีอยู่ระหว่างที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องการลงทุนที่ผ่านการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยองนั้น หากผ่าน EIA แล้วสามารถลงทุนโครงการได้ทันที นอกจากนี้ รัฐบาลยังเตรียมเดินหน้าออกระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการปฏิบัติตามมาตรา 67 ในระหว่างยังไม่มีข้อสรุปในการจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมาตรานี้อีกด้วย
ไพโรจน์ พลเพชร ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) กล่าวสรุปที่มาของแนวคิดภาครัฐว่า มติของ กรอ. ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรฯ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กระทรวงสาธารณสุข ทั้ง 4 กระทรวง หาข้อยุติในแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับมาตรา 67 โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาเรื่ององค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยคณะทำงานที่มีตัวแทนของแต่ละกระทรวงดังกล่าว รวมถึงเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย
โดยข้อสรุปของทั้ง 4 กระทรวง ออกมาว่า ประการแรก ในมาตรา 67 ไม่ได้ระบุว่าต้องออกกฎหมายเป็นการเฉพาะ และควรมีการแก้ไขพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 แทนเพื่อเพิ่มเติมเรื่ององค์กรอิสระนี้เข้าไป โดยให้องค์กรที่เป็นนิติบุคคลหรือไม่ใช่นิติบุคคลที่มีอยู่แล้ว มาขึ้นทะเบียนกับกระทรวงทรัพยากรฯ เพื่อเป็นองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมได้ในทันที มีหน้าที่ให้ความเห็นแก่ภาครัฐ โดยให้ทำหลังจากที่การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการต่างๆ ผ่านความเห็นชอบจากคณะผู้ชำนาญการแล้ว โดยให้ สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นผู้ใช้ดุลยพินิจว่าจะส่ง EIA ให้องค์การอิสระฯ แห่งใดพิจารณา และเมื่อส่งความเห็นขององค์การอิสระฯ กลับมาแล้ว การตัดสินใจในการให้แก้ไขเพิ่มเติม EIA อยู่ที่ผู้ชำนาญการเช่นเดิม
นอกจากนี้ในการแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ยังให้มีการระบุด้วยว่า หากองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมที่จัดตั้งขึ้นให้ความเห็นไม่เป็นกลาง ไม่เหมาะสม รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถถอนทะเบียนองค์กรดังกล่าวได้ทันที และระหว่างที่การแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมยังไม่เสร็จสิ้น ให้ สผ.ไปศึกษาแล้วเสนอให้ออกเป็นระเบียบสำนักนายกฯ
ไพโรจน์กล่าวถึงความคิดเห็นของตนเองต่อข้อเสนอของคณะทำงานดังกล่าวว่า ในประเด็นแรกนั้น ดูจากเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแล้ว ต้องการให้จัดตั้งเป็นองค์กรระดับชาติ และควรเป็นสถาบันทางการเมืองเพื่อยกระดับความเห็นของประชาชน เพราะหากจะให้องค์กรใดๆ ให้ความเห็นก็ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องกำหนดในรัฐธรรมนูญ เพราะมีสิทธิทำได้อยู่แล้ว
ประเด็นเรื่ององค์กรอิสระต้องให้ความคิดเห็นที่เป็นกลางไม่เช่นนั้นจะถูกถอนทะเบียน เงื่อนไขนี้จะทำให้ขาดความเป็นอิสระและไม่มีหลักประกันการไม่แทรกแซงของฝ่ายบริหาร เพราะเป็นดุลยพินิจของ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ไพโรจน์ยังกล่าวถึงอำนาจหน้าที่ในการให้ความคิดเห็นขององค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมว่า ต้องออกแบบรายละเอียดให้รัดกุมกว่านี้ กำหนดให้มีงานศึกษา การรับฟังความคิดเห็น และองค์กรนี้ต้องมีความเชี่ยวชาญและต้องทำงานอย่างต่อเนื่องด้วย
“ข้อเสนอของคณะทำงานภาครัฐ เป็นเหมือนการเล่นกลและเลี่ยงปัญหาที่มีอยู่ องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความขัดแย้ง แต่ถ้าเครื่องมือนี้บิดเบี้ยว ก็จะยิ่งสร้างการเผชิญหน้ามากขึ้น” ไพโรจน์กล่าว
สัญชัย สูติพันธ์วิหาร จากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในคณะผู้ยกร่าง พ.ร.บ.องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตามรัฐธรรมมูญมาตรา 67(2) ของภาคประชาชน ซึ่งกำลังอยู่ระหหว่างการรวบรวมรายชื่อ 10,000 รายชื่อ เพื่อเสนอร่างกฎหมายภายในสมัยนิติบัญญัตินี้ กล่าวว่า การออกเป็นระเบียบสำนักนายกฯ นั้นไม่ยั่งยืนเท่ากับการออกเป็นพ.ร.บ. และร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ก็ล้อกับมาตราดังกล่าวของรัฐธรรมนูญ โดยเน้นที่ธรรมาภิบาล และประสิทธิผลของการทำงาน นอกจากนี้ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวยังมีการมีส่วนร่วมของหลายภาคส่วนยังมาก โดยพัฒนามาจากงานศึกษาวิจัยตั้งแต่ปี 2545 รับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ ถึง 6 ครั้งและปรับเปลี่ยนมาหลายเวอร์ชั่น
สมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีตเลขาฯ สสร. กล่าวว่า หากเปรียบเทียบการจัดตั้งองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรา 67 วรรค 2 กับการจัดตั้งองค์การอิสระคุ้มครองผู้บริโภคตามมาตรา 61 จะเห็นว่า องค์การอิสระด้านการคุ้มครองผู้บริโภคมีความคืบหน้าไปมากกว่า มีการเพิ่มอำนาจหน้าที่ และกำหนดให้รัฐอุดหนุนเงินอย่างชัดเจนกว่า ขณะที่องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมกำหนดหน้าที่เพียงให้ความเห็นเท่านั้น นอกจากนี้ตามมาตรา 303 (1) ยังกำหนดให้จัดตั้งองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมภายใน 1 ปี แต่จนถึงขณะนี้ล่วงเลยมา 19 เดือนแล้ว และไม่สามารถหาผู้รับผิดชอบได้
สมคิดตั้งคำถามว่า แนวคิดที่ภาคประชาชนเห็นว่าต้องจัดตั้งในระดับชาติขึ้นมาโดยเฉพาะว่า หากมีองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมระดับประเทศนั้น องค์การระดับประเทศจะต้องให้ความเห็นในระดับชุมชนยิบย่อยด้วยหรือไม่ หรือต้องสร้างเครือข่ายในระดับจังหวัด
สุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก กล่าวว่า หากมีกลไกด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นมาใหม่ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวของประชาชนในพื้นที่ โดยอยากให้เน้นเรื่องกระบวนการรับฟังความคิดเห็น เพราะปัจจุบันเป็นปัญหาอย่างมากในพื้นที่ นอกจากนี้เครือข่ายภาคตะวันออกได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกรณีคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติละเลยการปฏิบัติหน้าที่ในการประกาศเขตควบคุมมลพิษในมาบตาพุดไปแล้วและอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ โดยไม่กี่วันที่ผ่านมา กรมควบคุมมลพิษได้เขียนอุทธรณ์คดีโดยระบุว่าเอกสารข้อมูลของภาคประชาชนไม่ได้ผ่านความเห็นของคณะผู้ชำนาญการ สะท้อนให้เห็นการให้ความสำคัญกับกลไกของผู้ชำนาญการ ทั้งที่ในความเป็นจริงผู้ชำนาญการบางคนก็มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับภาคอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน
สุทธิระบุด้วยว่า วันที่ 21 ส.ค.นี้ ในการประชุมของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจะมาร่วมงานนั้น ทางเครือข่ายตะวันออกจะยื่นหนังสือต่อนายกฯ ว่าไม่เห็นด้วยกับการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับพิจารณาออกใบอนุญาตให้โรงงานในเขตมาบตาพุด