เมื่อวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ลงนามเข้าเป็นรัฐภาคีในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance) ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งการเข้าเป็นรัฐภาคีในอนุสัญญาฉบับนี้จะทำให้รัฐไทยมีภาระผูกพันต้องแก้ไขกฎหมายอาญาให้การบังคับให้บุคคลสูญหายเป็นความผิด
ตามกฎหมายไทยปัจจุบัน ไม่มีความผิดฐานบังคับให้บุคคลสูญหาย ดังนั้น จำเลยที่ถูกฟ้องว่าบังคับให้บุคคลสูญหายจะมีความผิดเพียงฐานทำให้สูญเสียเสรีภาพเท่านั้น ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ เช่น ตัวอย่างกรณีการหายตัวไป ของนายสมชาย นีละไพจิตร เป็นต้น องค์กรภาคประชาสังคมใช้เวลาหลายปีทำกิจกรรมรณรงค์มาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้รัฐบาลแต่ละสมัยลงนามเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาฉบับนี้และนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายอาญาของไทยให้ได้
ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2555 มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ หนึ่งในองค์กรภาคประชาสังคมที่ติดตามปัญหาเกี่ยวกับการบังคับให้บุคคลสูญหายมาเป็นเวลานาน จึงออกแถลงการ ชื่นชมความก้าวหน้าของรัฐบาลไทยในครั้งนี้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
แถลงการณ์ ชื่นชมรัฐบาลไทยลงนามอนุสัญญาระ
ว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย
กรุงเทพฯ : (18 มกราคม 2555) มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ขอชื่นชมรัฐบาลไทยในการลงนามอนุ
อนุสัญญาฉบับนี้ยังกำหนดด้วยว่า รัฐภาคีต้องกำหนดให้ การบังคับสูญหาย (Enforced Disappearance) เป็นอาชญากรรมร้ายแรง ต้องกำหนดมาตราการการสอบสวนโดยพ
ลักษณะพิเศษของอนุสัญญาฯฉบับนี้
ในประเทศไทย มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพได้ทำการเก็บข้อมูลการบังคับสู
“ปัญหาสำคัญของการบังคับสูญหายใ