ร่าง พ.ร.บ.การจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ความหวังของประชาชน

ปัจจุบัน ทั่วโลกต่างเชื่อมโยงกันด้วยระบบข้อมูลข่าวสาร ส่งผลให้การค้าการลงทุน กระทั่งความร่วมมือด้านต่างๆ ในระดับระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อำนาจอธิปไตยภายในของแต่ละชาติบนเวทีโลกจึงค่อยๆ ถูกลดความสำคัญลงโดยอิทธิพลจากกระแสแห่งยุคสมัยที่รู้จักกันดีในนามของ “โลกาภิวัตน์”

ลักษณะเช่นนี้เอื้อต่อการถูกบีบกดของประชาชนตัวเล็กๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของรัฐชาติ ให้สูญเสียผลประโยชน์จากการตกลงผูกมัดตามข้อสัญญาที่รัฐเป็นภาคีร่วมกับรัฐอื่น ด้วยเหตุที่กระแสโลกาภิวัตน์นำไปสู่การเติบโตของระบบทุนนิยมอันเป็นระบบเศรษฐกิจที่คู่ขนานมากับยุคสมัยดังกล่าวในแง่ที่ว่า ความล่อตาล่อใจของผลกำไรจากระบบทุนนิยมก่อให้เกิดปัญหาการแสวงผลประโยชน์ของนายทุนระดับสูงรวมถึงชนชั้นนำทางการเมืองซึ่งมีอำนาจในการกำหนดนโยบายของรัฐ จุดนี้นำไปสู่การผูกพันทำสัญญาระหว่างประเทศกับรัฐอื่นโดยปราศจากการคำนึงถึงประชาชนโดยรวมที่ยังอยู่ในสภาวะยากจน หรือตกเป็นเหยื่อของระบบในสภาวะที่ไม่อาจเข้าถึงการพัฒนาอย่างแท้จริง อาจกล่าวได้ว่า ความสำคัญของประชาชนถูกลดลงทั้งที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของรัฐชาติ ทั้งนี้เนื่องจากอำนาจอธิปไตยที่ลดน้อยลงส่งผลให้ความเป็นชาตินิยมของผู้มีอำนาจในรัฐลดลงด้วย
 
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 190 มีสาระสำคัญอย่างชัดเจนว่า ก่อนการดำเนินการกระทำสัญญาอันมีผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงต่ออาณาเขต ความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคม หรือมีผลผูกพันอย่างมีนัยสำคัญด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ รัฐบาลต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อน

และในมาตรา 190 วรรค 5 กำหนดว่า ให้มีกฎหมายว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญาที่มีผลกระทบในลักษณะเช่นที่อ้างไว้ข้างต้น รวมถึงการแก้ไขเยียวยาอย่างเป็นธรรมต่อผู้ได้รับผลกระทบจากการทำสัญญาระหว่างประเทศ

หากมีกฎหมายลูกที่ชื่อ “พระราชบัญญัติการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ พ.ศ. …” ตามมาตรา 190 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ย่อมเป็นผลดีต่อการสร้างความเป็นธรรมต่อประชาชน อันเป็นส่วนย่อยที่สำคัญที่สุดของรัฐ

กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน หรือ เอฟทีเอ ว็อทช์ (FTA Watch) จึงเริ่มผลักดันให้เกิดกฎหมายดังกล่าว ในต้นปี 2551 ด้วยการยื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งขณะนั้นคือ นายนพดล ปัทมะ และจัดกิจกรรมรณรงค์ให้ประชาชนมาเข้าชื่อกันให้ครบ 10,000 ชื่อเพื่อเสนอกฎหมาย

เนื้อหาอันเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ในร่าง พ.ร.บ. การจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ พ.ศ. …โดยสรุป มีดังนี้

1.    เวทีเจรจาจะเปิดกว้างต่อหลายฝ่าย มาตรา 6 กำหนดให้มีการจัดตั้ง “คณะกรรมการประสานการเจรจาการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ” ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐต่างๆ และผู้เชี่ยวชาญจากหลายด้าน ที่มีความรู้ความสามารถ นอกจากนี้ยังระบุไว้นมาตรา 17 ว่า ในการเจรจาต้องมีผู้เชี่ยวชาญจากหลายด้าน ร่วมเจรจา และในวรรค 2 มาตรา 17 ยังกำหนดให้มีผู้สังเกตการณ์จากนักวิชาการ ภาคประชาชน หรือผู้มีส่วนได้เสียในระหว่างที่มีการเจรจา

2.    การศึกษาและวิจัยผลกระทบต้องรอบด้านมากขึ้น โดยมาตรา 18 กำหนดว่าจะต้องมีการจัดทำวิจัยศึกษาผลกระทบอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยรัฐบาลต้องสนับสนุนให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยทำหน้าที่ศึกษาวิจัยอย่างเป็นกลางและรอบด้าน นอกจากนี้ในวรรค 4 ยังกำหนดให้มีการจัดทำรายงานผลการศึกษาวิจัยต่อผู้มีส่วนได้เสีย และกลุ่มประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง โดยต้องปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาล

3.    กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่เป็นอิสระและน่าเชื่อถือ ใน มาตรา 20 กำหนดให้การจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต้องจัดทำอย่างน้อย 2 ขั้นตอน คือ (1) จัดขึ้นก่อนการชี้แจงวัตถุประสงค์ กรอบและประเด็นการเจรจาของรัฐบาล (2) จัดขึ้นภายหลังที่มีการเจรจาหรือภายหลังการลงนาม โดยให้เป็นความเห็นต่อร่างหนังสือสัญญา นอกจากนั้น มาตรา 29 ยังกำหนดให้ “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” เป็นองค์กรกลางในการทำหน้าที่จัดทำกระบวนการรับฟังความเห็นจากประชาชน

4.    ความโปร่งใสมากขึ้น มาตรา 34 กำหนดว่า ให้มีการจัดส่งเอกสารทางการที่ออกโดยหน่วยงานผู้รับผิดชอบการเจรจาและที่หน่วยงานดังกล่าวได้รับจากคู่เจรจาทั้งหมดซึ่งเกี่ยวข้องกับหนังสือสัญญา ไปจัดเก็บและเปิดเผยเพื่อสามารถให้มีการสืบค้นโดยผู้สนใจได้

เดือนมีนาคม ปี 2552 ร่าง พ.ร.บ. การจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ พ.ศ. … ถูกยื่นต่อรัฐสภาโดยประชาชน 10,378 คน เข้าชื่อเพื่อเสนอกฎหมาย แต่ถูกประธานรัฐสภาในสมัยนั้น วินิจฉัยว่า ร่างพ.ร.บ. นี้ไม่ใช่กฎหมายในหมวด 3 เรื่องสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย หรือ หมวด 5 เรื่องแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ของรัฐธรรมนูญ ประชาชนจึงไม่มีสิทธิเข้าชื่อ 10,000 ชื่อ เพื่อเสนอต่อรัฐสภาได้

ต่อมาในเดือนตุลาคม 2552 ทาง เอฟทีเอว็อทช์ ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ฟ้องว่านายชัย ชิดชอบ และนายพิทูร พุ่มหิรัญ ประธานรัฐสภาและเลขาธิการสภาผู้แสนราษฎร ไม่รับร่าง พ.ร.บ. ที่มีประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 10,378 รายชื่อ ร่วมเข้าชื่อเสนอ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขณะนี้คดียังอยู่ในขั้นตอนของศาลปกครอง

ที่มา creativecommons

 

 

 

RELATED TAGS

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage